xs
xsm
sm
md
lg

“ปานเทพ” เปิด 3 ทางเลือกอำนาจต่อรองใหม่ ไทยทวงคืนดินแดนมณฑลบูรพา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ปานเทพ” เผยอำนาจต่อรองใหม่ของไทยกรณีกัมพูชา เอกสารปักปันเขตแดนระบุให้ใช้ขอบหน้าผาเป็นเส้นเขตแดน ไม่ต้องไปสำรวจหาสันปันน้ำใหม่ พบหลักฐานข้อตกลงวอชิงตันเป็นโมฆะ ไทยมีสิทธิทวงมณฑลบูรพาคืน ตอกย้ำด้วยปฏิญญาสหประชาชาติ 1514 ว่าด้วยการยุติลัทธิล่าอาณานิคม ฝรั่งเศสต้องคืนดินแดนที่เคยยึดไปกลับมาให้ไทยทั้งหมด



วันที่ 24 ต.ค. 2568 ที่มหาวิทยาลัยรังสิต ในงานสัมมนา “เหลียวหลังแลหน้า ปัญหาไทย-กัมพูชา” นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน บรรยายหัวข้อ “แผ่นดินของเรา พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ และประจันตคีรีเขตต์ กับอำนาจต่อรองใหม่ของไทย”

นายปานเทพ กล่าวว่า ไทยเสียสิทธิตามอนุสัญญากรุงเวียนนา 1969 ที่จะยกเลิก MOU2543 แล้ว หลังจากไปประชุม JBC กับกัมพูชาเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม เรายังไม่หมดหวัง เงื่อนไขและอำนาจต่อรองใหม่ของไทยยังมีอยู่ ประการแรกคือ เอกสารฝ่ายไทยที่ยื่นต่อศาลโลกในการต่อสู้คดีปราสาทพระวิหาร ที่แสดงความชัดเจนเรื่องเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาว่าอยู่ที่ “หน้าผา” มองเห็นได้จากตีนภูเขาพนมดงรัก จึงไม่จำเป็นต้องสำรวจหาสันปันน้ำอีกแล้ว ไม่ต้องใช้ดาวเทียม ไม่ต้องใช้ไลดาร์


ทั้งนี้ เอกสารดังกล่าวเรียกว่า เอกสารคำติงของฝ่ายไทยที่ยื่นหลักฐานต่อศาลโลก ถูกแปลเป็นภาษาไทยว่า บันทึกการต่อสู้คดีฉบับบริบูรณ์ คำติงของฝ่ายไทย 2 กุมภาพันธ์ 2505

เอกสารดังกล่าวอ้างถึงรายงานการประชุมคณะกรรมการปักปันเขตแดนสยาม-ฝรั่งเศส 18 มีนาคม1905, การประชุมวันที่ 30 มกราคม 1905, 29 พฤศจิกายน 1905, 7 มกราคม 1906 ซึ่งมีข้อสรุปว่า หากยึดถือเคร่งครัดตามสันปันน้ำทางภูมิศาสตร์ซึ่งเรากำลังทำอยู่ในยุคนี้ จะทำให้อินโดจีนคือฝรั่งเศสได้เป็นเจ้าของดินแดนเป็นแนวแคบๆ ที่หน้าผา ซึ่งอาจจะมีส่วนกว้างระหว่าง 2 ถึง 3 เมตร หรือ 1 ถึง 2 กิโลเมตรก็ได้ เป็นสาเหตุกระทบกระเทือนกันไม่มีที่สิ้นสุด กรรมการจึงตัดสินว่าเพื่อประโยชน์ในทางปฏิบัติ สมควรกำหนดว่าเส้นสันปันน้ำอยู่ที่หน้าผา

ในประเด็นนี้ พันโท แบร์นาร์ด ได้ปาฐกถาวันที่ 20 ธันวาคม 1907 บรรยายความสุดท้ายว่าทางเหนือยอดภูเขาดงรักที่ไม่มีเขตแดน เป็นเส้นเขตแดนที่เห็นได้อย่างถนัดชัดแจ้ง ซึ่งต้องไม่ตีความ ไม่สำรวจ ไม่หาระดับอะไร ต้องเห็นถนัดชัดแจ้ง พันเอก มองกีเอ ประธานกรรมการฝ่ายฝรั่งเศสในชุดที่ 2 ปี 1907 ก็กล่าวไว้อย่างเดียวกันในเอกสารติง


“เวลาบอกว่ามองเห็นสันปันน้ำแล้วเห็นจากตีนภูเขาแปลว่าต้องไม่เห็นสิ่งที่อยู่หลังหน้าผาใช่ไหม แปลว่าไม่ได้สำรวจจากข้างบนใช่ไหมครับ สำรวจจากข้างล่างใช่ไหมครับ ก็แปลว่า เป็นที่ยุติว่า สยามกับฝรั่งเศส สยามอยู่ข้างบนเขมรอยู่ข้างล่างถูกต้องใช่ไหมครับ

“แต่ที่ทะเลาะกัน 25 ปี ก็จะหาสันปันน้ำใหม่ที่ไม่ใช่หน้าผาไงครับ จึงทะเลาะกันที่ปราสาทตาเหมือนธม ปราสาทตาควาย ปราสาทคะนา ทุกจุดแบบนี้เหมือนกันหมดบัดนี้เราขอทวงคืนเอกสารโบราณชิ้นนี้ครับ เส้นเขตแดนคือขอบหน้าผาอย่างเดียวไม่เอาไลดาร์ ไม่เอาดาวเทียม ไม่เอาโฟโต้แมปอย่างอื่น หน้าผาเท่านั้นครับ” นายปานเทพ กล่าว

นายปานเทพ กล่าวต่อว่า ถ้าเราจะยึดเอาเส้นหน้าผาเป็นเส้นเขตแดน แต่กัมพูชาจะยึดแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ข้อ 1 ค.ของ MOU 2543 ก็ต้องหาทางออกโดยยืนยันว่า MOU 2543 เป็นโมฆะ เพราะมีปัญหาข้อกฎหมายหลายประการ

ข้อแรกคือ ไม่ได้ผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพียงแค่เสนอ ครม.“เพื่อทราบ” เท่านั้น ซึ่งขัดต่อข้อกำหนดตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2535 ที่ระบุว่า กรณีเป็นอนุสัญญาหรือสนธิสัญญาต้องให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบหรือไม่เท่านั้น

ประการต่อมา คือ MOU 2543 ไม่ได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา และประการที่ 3 MOU ฉบับนี้ ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่กำหนดให้การทำสนธิสัญญา หากมีผลเปลี่ยนแปลงอาณาเขตประเทศต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา รวมทั้งมีพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ แต่ MOU ฉบับนี้มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนาม

นายปานเทพ กล่าวว่า แนวทางต่อมาก็คือการดึงสิทธิ์ในการยกเลิก MOU2543 กลับมา โดยต้องทำประชามติสอบถามความเห็นของประชาชนตามที่รัฐบาลได้แถลงเป็นนโยบายต่อรัฐสภา เพราะสิทธิ์ในการยกเลิก MOU ตามมาตรา 60 ของอนุสัญญาเวียนนานั้น รัฐบาลสละไปแล้วด้วยการร่วมประชุม JBC จึงเหลือเพียงสิทธิของประชาชน


นายปานเทพกล่าวอีกว่า อำนาจต่อรองใหม่ของไทยประการต่อมา คือการทวงคืนมณฑลบูรพา ซึ่งก็คือ 4 จังหวัดได้แก่ พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ และประจันตคีรีเขตต์ ให้กลับมาเป็นของไทย หลังจากต้องสูญเสียให้ฝรั่งเศสในยุคล่าอาณานิคม และไทยทำสงครามกับฝรั่งเศสทวงคืนมาได้ในปี 2481 ตามอนุสัญญากรุงโตเกียว

ทั้งนี้ ในการลงนามในอนุสัญญาสันติภาพโตเกียว ระหว่างไทยกับฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2481 นั้น ฝ่ายไทยดำเนินการอย่างถูกต้อง โดยผ่านการรับรองจากรัฐสภาด้วยมติเป็นเอกฉันท์ในการนำแผ่นดินไทยกลับมา พร้อมทั้งได้จ่ายเงินให้ฝรั่งเศส 6 ล้านเปียสอินโดจีน หรือประมาณ 1,000 ถึง 1,500 ล้านบาทในยุคปัจจุบัน เป็นการไถ่แผ่นดินกลับคืนมา

แต่แล้วหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 2489 ฝรั่งเศสบีบให้ไทยคืนมณฑลบูรพาไม่เช่นนั้นจะไม่ให้ไทยเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ ซึ่งไทยก็ต้องยอม โดยการลงนามใน “ข้อตกลงวอชิงตัน” หรือ Washington Accord เพื่อยกเลิกอนุสัญญากรุงโตเกียว ฉบับวันที่ 9 พฤษภาค 2481


อย่างไรก็ตาม พบว่า “ข้อตกลงวอชิงตัน” นั้น เป็นข้อตกลงที่ไม่สมบูรณ์ เนื่องจากในการประชุมของรัฐสภาไทยเพื่อลงมติยกเลิกอนุสัญญากรุงโตเกียวนั้น ได้เสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่ง คือได้ 120 เสียง จากจำนวน สส.และ สว.ในขณะนั้นที่มีทั้งหมด 248 เสียง ซึ่งถือว่าขัดรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2489 มาตรา 76 และ “ข้อตกลงวอชิงตัน” ก็ไม่ผ่านการลงสัตยาบันหลังจากลงนามมาแล้ว
นอกจากนี้ ในวันที่ 9 ธันวาคม 2489 มีการออกประกาศยกเลิกอนุสัญญาโตเกียวและบรรดาภาคผนวก เพื่อเอาแผ่นดินไปคืนฝรั่งเศส ซึ่งประกาศนี้มีข้อสังเกต 1.ไม่ปรากฏพระนามของพระมหากษัตริย์ 2.ไม่ปรากฏชื่อและพระนามของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จึงไม่รู้ว่านายกรัฐมนตรีขณะนั้นรับสนองพระบรมราชโองการจากใคร และ 3.ลงนามแล้วให้มีผลทันทีโดยไม่ทำสัตยาบัน จึงน่าจะเป็นประกาศที่เป็นโมฆะ


นายปานเทพกล่าวต่อว่า มติสหประชาชาติหมายเลข 1514 ว่าด้วย “การยุติลัทธิล่าอาณานิคมและการคืนเอกราชให้ประชาชนในดินแดนที่ถูกยึดครอง” เป็นหลักการสำคัญที่เกิดขึ้นพร้อมกับการก่อตั้งสหประชาชาติ เพื่อสร้างสันติภาพโลกและยุติการครอบครองดินแดนของชาติมหาอำนาจ

โดยในข้อ 5 ของมติปฏิญญา 1514 ระบุว่า ดินแดนที่ถูกปกครองหรืออยู่ภายใต้อิทธิพลของเจ้าอาณานิคม ต้องได้รับการคืนอำนาจในการปกครองตนเองให้แก่ประชาชนโดยไม่มีเงื่อนไขหรือข้อสงวนใด ๆ เพื่อให้ได้เอกราชอย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะมีความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา หรือสีผิวก็ตาม

นายปานเทพอธิบายว่า เมื่อพิจารณาตามหลักการนี้ ไทยไม่ได้ทำสนธิสัญญากับกัมพูชา แต่ทำกับฝรั่งเศสซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคมในปี 1907 ดังนั้น ดินแดนที่ฝรั่งเศสยึดไปจากสยาม เช่น มณฑลบูรพา ได้แก่ พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ และประจันตคีรีเขตต์ จึงถือเป็นดินแดนที่ถูกล่าอาณานิคมไป


เมื่อมติสหประชาชาติ 1514 กำหนดให้ประเทศเจ้าอาณานิคมต้องคืนแผ่นดินแก่เจ้าของเดิม ไทยจึงมีสิทธิ์อ้างตามหลักการนี้ได้ว่า หากฝรั่งเศสคืนเอกราชให้กัมพูชา ดินแดนที่เคยเป็นของไทยก่อนถูกยึดครอง ควรถูกคืนให้ประเทศไทย ไม่ใช่ตกเป็นของกัมพูชา

นายปานเทพสรุปว่า หากไทยต้องการใช้อำนาจต่อรองใหม่ ในการจัดความสัมพันธ์กับกัมพูชา ก็ควรยึดหลักตามปฏิญญาสหประชาชาติฉบับนี้ เพื่อเรียกร้องสิทธิ์ในดินแดนเดิมของสยามอย่างถูกต้องตามกฎหมายระหว่างประเทศและประวัติศาสตร์


ทั้งนี้ ไทยมี 3 ทางเลือก คือ 1.ไปทะเลาะกันเรื่อง MOU 2543 กับเส้นขอบหน้าผา
2.เห็นปัญหาข้อตกลงวอชิงตันที่ให้ยกเลิกอนุสัญญาโตเกียวนั้น เป็นโมฆะ ไม่มีความเป็นธรรม และทวงสิทธิในดินแดนมณฑลบูรพาคืน
3.อ้างสิทธิ์ตามปฏิญญาสหประชาชาติ 1514 เพื่อทวงแผ่นดินไทยคืน

“เรื่องเส้นเขตแดน มันเรื่องทะเลาะผิดประเด็นหรือเปล่าครับ สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี้ คือทวงมณฑลบูรพาและประจันตคีรีเขตต์กลับคืนเป็นของประเทศไทย หรือเปล่าครับ และถ้าใช่ วันนี้แค่เริ่มต้น ไม่ได้ทวงคืนดินแดนนะครับ วันนี้แค่ทวงคืนความจริงเป็นจุดเริ่มต้นนำไปสู่การทวงคืนความเป็นธรรม และเมื่อมีโอกาสก็ทวงคืนดินแดนครับ” นายปานเทพ กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น