xs
xsm
sm
md
lg

ครปอ.เตือน รบ.อย่าหาทำ ขยายเวลาขายเหล้าถึงตี 4 พร้อมนำเครือข่ายเหยื่อ 100 ชีวิตบุกทำเนียบยื่นค้านพรุ่งนี้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



จากการที่มีกระแสข่าวทางสื่อมวลชนบางแห่งว่าเมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2568 ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย สั่งการ ให้กระทรวงมหาดไทย (มท.) และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ร่วมหารือเพื่อยกเลิกการโซนนิ่งพื้นที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อให้เปิดกว้างขายได้ทั่วประเทศ และขยายเวลาเปิดสถานบริการถึง เวลา 04.00 น. จากปัจจุบันเปิดให้บริการได้ถึง 02.00 น. หรือ เปิดผับถึงตี 4 และผ่อนคลายข้อห้ามขายช่วงเวลาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 14.00-17.00 น. โดยมีเป้าหมายให้สามารถดำเนินการได้ทันทีภายในเดือนม.ค. 2569 ทันก่อนยุบสภา และยังอ้างว่าจะมีรายได้จากภาษีเพิ่มกว่า 5 แสนล้านบาทนั้น

นายชูวิทย์  จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ (ครปอ.) กล่าวว่า  จากข่าวนี้จำเป็นต้องตรวจสอบที่มาที่ไป  เพราะก่อนหน้านี้หลายครั้ง เคยมีความพยายามให้ข่าวจากฝั่งธุรกิจน้ำเมาว่า สามารถขายเหล้าได้ 24 ชั่วโมง จนมีสื่อบางรายและสื่อสังคมออนไลน์พากันเผยแพร่ ทั้งที่ไม่เป็นความจริง แต่กลายเป็นข่าวที่สร้างความสับสนให้ผู้คนในสังคม  ส่วนข่าวนี้ก็เช่นเดียวกันต้องตรวจสอบกับรัฐบาลว่ามีนโยบายที่จะสร้างคนเมาเกลื่อนถนนแบบนี้หรือไม่ หรือเป็นเพียงข่าวปล่อยของฝั่งธุรกิจที่หวังผลประโยชน์ตัวเอง ที่ผ่านมาก็อ้างเป็นแผ่นเสียงตกร่องถึงตัวเลขรายได้ที่จะเพิ่ม 5 แสนล้านมาโดยตลอด  ส่วนตัวเข้าใจว่านายกอนุทินซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมาก่อน  เข้าใจในมิติสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนพอสมควร ประกอบกับนายโสภณ  ซารัมย์  รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งดูแลงานด้านสุขภาพ ก็ได้ให้นโยบายที่ชัดเจน ว่าพร้อมที่จะแก้ไข  หากกฎหมายใดที่เป็นอุปสรรคกับสุขภาพอันดีของประชาชน โดยเฉพาะปัญหายาเสพติด อุบัติเหตุ ซึ่งจากข่าวที่อ้างว่ารัฐบาลนี้เตรียมจะยกเลิกเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ช่วงบ่าย  ให้ขายได้ถึงตี 4  และยกเลิกโซนนิ่งนั้น  เป็นสิ่งที่สวนทางกันอย่างสิ้นเชิงกับนโยบายสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชน  

“ในเวลานี้สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือการกลับไปทบทวนประเมินผลว่า  ในห้าพื้นที่นำร่องที่ให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานบริการจนถึงตี 4 ซึ่งทำมาเป็นเวลาปีกว่าแล้ว ทั้งในสถานบริการท้องที่กรุงเทพมหานคร, จ.ภูเก็ต, จ.ชลบุรี, จ.เชียงใหม่ และท้องที่ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี  ประสบความสำเร็จอย่างที่อ้างกันหรือไม่  ทั้งมิติการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ ความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับความปลอดภัย อุบัติเหตุ ความรุนแรงและความสูญเสีย อยากให้รัฐบาลเลิกหูเบาฟังแต่เสียงผู้ประกอบการ  ธุรกิจน้ำเมาขาประจำ ควรชั่งน้ำหนักให้รอบด้าน ส่วนการยกเลิกเวลาห้ามขายช่วงบ่ายนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำหรือจำเป็น เร่งด่วนในเวลานี้  เพราะยิ่งปล่อยให้กินดื่มมากก็ยิ่งผลิตคนเมาบนท้องถนนมาก  ช่วงเวลาดังกล่าวควรเป็นช่วงเวลาความปลอดภัยของผู้คน  ทั้งคนทำงาน เด็กนักเรียน  ปัจจุบันมูลค่าความสูญเสียโดยรวมจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็สูงกว่าภาษีที่เราจัดเก็บได้อยู่แล้ว เป็นภาระในทางสาธารณสุขมหาศาล  อุบัติเหตุก็ไม่ได้ลดลงอย่างที่ควรจะเป็น ส่วนตัวเลขรายได้ภาษีที่อ้างว่าจะเพิ่มขึ้นกว่า 5 แสนล้านนั้นก็เป็นตัวเลขที่เลื่อนลอยเอามากๆ ไม่มีที่มาที่ไป เพราะปัจจุบันค่าการตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อปีก็อยู่ที่ประมาณ 5 แสนล้านอยู่แล้ว ตัวเลขที่อ้างว่าจะได้เพิ่มจากข้อเสนอนี้ จึงเป็นตัวเลขที่ปั้นแต่งและเพ้อฝัน อย่างไรก็ตามพรุ่งนี้เวลา 10.00 น. เครือข่าย ชุมชน และเหยื่อเมาแล้วขับ กว่า 100คน จะไปยื่นคัดค้านต่อนายกอนุทิน ที่ประตู 5ทำเนียบรัฐบาล ” นายชูวิทย์ กล่าว

ด้านนายธีระ วัชรปราณี ผู้อำนวยการเครือข่ายองค์กรงดเหล้า กล่าวว่า การแก้ไขโซนนิ่งนั้น  ต้องยอมรับความจริงก่อนว่า พ.ร.บ.สถานบริการ พ.ศ. 2509 และการกำหนดโซนนิ่งในปัจจุบันนั้นล้าหลังไปแล้ว  ไม่เป็นจริง  ไม่สอดคล้องกับสภาพกาลตอนนี้  เห็นด้วยว่าควรมีการแก้ไข  แต่ควรแก้กฎหมายเพื่อจัดระเบียบใหม่กับสถานบริการที่มีเกือบ 1,800 ราย และจัดการสถานประกอบการที่คล้ายสถานบริการที่คาดว่ามีมากกว่า 200,000 ราย  เอาเข้าระบบ จัดให้เป็นที่เป็นทาง ควรขยายความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ประกอบการให้มากขึ้น  และปิดช่องการรับส่วยจ่ายใต้โต๊ะ  ทำให้ผู้ประกอบการที่ตั้งใจทำตามกฎหมายทำมาหากินได้โดยสุจริต  แต่ลงโทษหนักกับพวกนอกรีตฝ่าฝืนกฎหมาย เช่นปิด 1-5 ปี เรื่องโซนนิ่งจำเป็นต้องมีการประเมินประสิทธิภาพที่ผ่านมาด้วย  ดังนั้นควรแก้ไขระดับ พ.ร.บ. ให้ทันสมัยดีกว่า จัดระเบียบใหม่ให้คุ้มครองสุจริตชนและเพิ่มรายได้เข้ารัฐ

“อย่างไรก็ตาม ด้วย พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 8 พฤศจิกายนนี้  รัฐบาล กระทรวงสาธารณสุข จำเป็นต้องเร่งออกกฎหมายลูกให้ทันเพราะภายใต้กฎหมายฉบับนี้มีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมพอสมควร  และต้องมีการออกหลักเกณฑ์ วิธีการ  ข้อกำหนดต่างๆออกมาให้ชัดเจน  และควรเร่งประชาสัมพันธ์กฎหมาย  เพื่อสร้างความเข้าใจของผู้ประกอบการ  เพราะมีบางมาตรการที่ผ่อนปรนก็จริง แต่ก็มีหลายมาตราที่เพิ่มโทษหนักขึ้น เช่นห้ามขายให้คนเมา  ขายให้เด็ก เยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี  และเพิ่มความรับผิดทางแพ่งของผู้ขายด้วยหากการขายนั้นเชื่อมโยงกับอุบัติเหตุหรือความเสียหายที่เป็นเหตุเกี่ยวเนื่องโดยตรง เป็นต้น” นายธีระ กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น