รมว.กลาโหม แถลงผลประชุม GBC ที่มาเลเซีย เผยเป็นครั้งแรกที่กัมพูชาให้ความร่วมมือไทยมากขึ้น เห็นพ้องทำแผนถอนอาวุธหนัก ร่วมเก็บกู้ทุ่นระเบิดโดยไม่เกี่ยงเรื่องเขตแดน ปราบไซเบอร์สแกมโดยตำรวจ 2 ฝ่ายตั้งกองกำลังเฉพาะกิจร่วมกวาดล้าง จัดการพื้นที่บ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้วโดยร่วมสำรวจจากหลักเขตที่ 42-47 เพื่อปรับการถือครองที่ดินของทั้งสองฝ่าย แต่ย้ำทั้ง 4 ข้อต้องคืบหน้า จึงจะยุติการเป็นปฏิปักษ์
วันนี้ (23 ต.ค. 2568) เวลา 10.45 น. ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee – GBC) ไทย–กัมพูชา สมัยพิเศษ ครั้งที่ 2/2568 ซึ่งจัดขึ้นตามคำเชิญของกระทรวงกลาโหมมาเลเซีย โดยมี พล.อ.เตีย เสฮา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายกัมพูชาเข้าร่วมประชุม
พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ที่ประชุมได้หารือร่วมกันใน 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ การถอนอาวุธหนักจากพื้นที่ขัดแย้ง การเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล การปราบปรามขบวนการไซเบอร์สแกม และการจัดการพื้นที่หมู่บ้านชายแดนในจังหวัดสระแก้ว โดยมีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญและสามารถตกลงแนวทางปฏิบัติร่วมกันได้ในหลายเรื่อง
เรื่องแรก การถอนอาวุธหนักจากพื้นที่ขัดแย้ง ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามในข้อกำหนด (TOR) สำหรับคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) เพื่อทำหน้าที่ติดตามและประเมินผลการถอนอาวุธหนักของทั้งสองประเทศ โดยกำหนดกรอบเวลาและเป้าหมายปลายทางชัดเจน พร้อมมอบหมายให้แม่ทัพภาคที่ 2 ของไทยและผู้บัญชาการภูมิภาคที่ 4 ของกัมพูชาขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการร่วมกัน เริ่มหารือเพิ่มเติมในวันที่ 25 ต.ค. นี้
ทั้งนี้ การถอนอาวุธหนักมีเป้าหมายเพื่อความปลอดภัยของประชาชนตามแนวชายแดน เนื่องจากอาวุธหนักของกัมพูชา เช่น จรวด BM-21 มีอำนาจการทำลายเป็นวงกว้าง ยากแก่การควบคุมตำบลกระสุนตก เสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และเป้าหมายที่ไม่ใช่เป้าหมายทางทหาร เช่น บ้านเรือน ร้านค้า ไร่นา โรงเรียนและโรงพยาบาล เป็นต้น
เรื่องที่ 2 การเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ที่ประชุมสามารถจัดทำระเบียบปฏิบัติ (SOP) สำหรับการเก็บกู้ทุ่นระเบิดร่วมกันได้สำเร็จ ทั้งในพื้นที่ที่มีการกำหนดเขตแดนแล้วและพื้นที่พิพาท โดยชุดปฏิบัติการของทั้งสองฝ่ายสามารถเริ่มภารกิจได้ทันที ถือเป็นครั้งแรกที่กัมพูชายอมหารือรายละเอียดในประเด็นนี้ จากที่ก่อนหน้านี้มักจะขัดขวางฝ่ายไทยตลอด เมื่อเราเข้าไปใกล้พื้นที่ชายแดน
พล.อ.ณัฐพล ย้ำว่า การเก็บกู้ทุ่นระเบิดเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการ และต้องไม่นำเรื่องเขตแดนมาเป็นข้อจำกัด เพื่อความปลอดภัยของทั้งประชาชนและทหารที่ปฏิบัติหน้าที่แนวชายแดน
เรื่องที่ 3 การปราบปรามขบวนการไซเบอร์สแกม พล.อ.ณัฐพล แถลงว่า เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราได้รับความร่วมมือมากขึ้นเป็นครั้งแรกจากฝ่ายกัมพูชา โดยหน่วยงานตำรวจของทั้ง 2 ฝ่าย ได้ร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติการ หรือแอกชั่นแพลนเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้ทั้ง 2 ฝ่ายจะจัดตั้งกองกำลังเฉพาะกิจร่วม หรือ Joint Task Force ภายใน 2 สัปดาห์ เพื่อเริ่มกวาดล้างแกนนำหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการไซเบอร์สแกมต่อไป ซึ่งต้องยอมรับว่ามีขบวนการบางส่วนเดินทางไปมาระหว่าง 2 ประเทศด้วยวิธีต่างๆ
นอกจากนี้ ได้ตกลงร่วมกันเกี่ยวกับขั้นตอนที่ชัดเจนในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร หลักฐาน พยาน เหยื่อที่ถูกหลอกลวงและผู้ต้องหา รวมถึงมาตรการคุ้มครองพยานอันจะทำให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น
เรื่องที่ 4 การจัดการพื้นที่หมู่บ้านชายแดน จ.สระแก้ว พล.อ.ณัฐพล อ้างถึงผลจากการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ครั้งล่าสุด ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้เจ้าหน้าที่ร่วมกันลงสำรวจแนวเส้นที่แต่ละฝ่ายอ้างสิทธิ์จากหลักเขตที่ 42 ถึง 47 ช่วงบ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว
พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ถือเป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่ฝ่ายกัมพูชายินยอมร่วมมือกับฝ่ายไทยในการลงพื้นที่เดินสำรวจแนวเส้นอ้างสิทธิ์ และวางหมุดชั่วคราวที่แน่ชัดด้วยด้วยกัน เพื่อให้แต่ละฝ่ายยอมรับกับขอบเขตพื้นที่ที่เกิดขึ้นตามผลการสำรวจและนำไปสู่การปรับการถือครองที่ดินของทั้ง 2 ฝ่ายต่อไป และขอยืนยันว่า การวางหมุดชั่วคราวนี่เป็นเพียงเพื่อการสำรวจเท่านั้น และจะไม่กระทบต่อสิทธิของไทยในเรื่องเขตแดนทางบกตามกฎหมายระหว่างประเทศแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ฝ่ายไทยยังเตรียมสร้างรั้วชายแดนในพื้นที่ที่มีความชัดเจนของเส้นเขตแดนแล้ว เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและป้องกันภัยคุกคามข้ามแดน โดยยืนยันว่าทั้งหมดอยู่ภายในเขตอธิปไตยของไทย
พล.อ.ณัฐพล กล่าวทิ้งท้ายว่า ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น นับเป็นความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญที่เกิดขึ้นจากการประชุม GBC ครั้งนี้ ซึ่งยังคงมีรายละเอียดหลายเรื่องที่เราต้องร่วมกันติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิดต่อไป
“ฝ่ายไทยขอยืนยันว่าเราต้องการเห็นความคืบหน้าที่ชัดเจนในทุกเรื่องตามที่กล่าวไปแล้ว จึงจะพิจารณาการยุติความเป็นปรปักษ์ต่อกัน ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาได้แสดงความจริงใจในการปฏิบัติตามผลการประชุม GBC ในครั้งนี้ โดยเคร่งครัดเพื่อร่วมกันนำสันติสุขให้กลับคืนสู่ประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ ตลอดจนภูมิภาคอาเซียนในภาพรวม” พล.อ.ณัฐพล กล่าว
คำแถลงของ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม โดยละเอียด
วันนี้ ผมได้มาเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC สมัยพิเศษครั้งที่ 2/2568 ร่วมกับฝ่ายกัมพูชา นำโดยรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา(นายเตีย เสฮา) ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ สหพันธรัฐมาเลเซีย ตามคำเชิญของกระทรวงกลาโหมมาเลเซีย
การประชุม GBC ในครั้งนี้ ประเทศไทยยังคงยืนหยัดในเงื่อนไขเดิม 4 ข้อ ได้แก่ การถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ขัดแย้ง การเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล การปราบปรามขบวนการไซเบอร์สแกม และการจัดการพื้นที่หมู่บ้านชายแดนในจังหวัดสระแก้ว ผลการประชุมในวันนี้ ถือว่ามีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ โดยฝ่ายไทยได้ประสบความสำเร็จในการโน้มน้าวให้ฝ่ายกัมพูชายึดถือปฏิบัติในประเด็นเดิม แต่มีการลงลึกในรายละเอียดมากขึ้น เพื่อให้หน่วยในพื้นที่สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งผมจะขอชี้แจงให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบโดยทั่วกันดังนี้
ประเด็นแรก การถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ขัดแย้ง
ทั้ง 2 ฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงในการจัดทำข้อกำหนดเงื่อนไขของงาน หรือ TOR สำหรับคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน หรือ AOT และได้มีการลงนามโดยผู้แทนทั้ง 2 ฝ่ายเรียบร้อยแล้ว
ซึ่งคณะ AOT จะมีหน้าที่สำคัญในการสังเกตและติดตามผลความคืบหน้าของการถอนอาวุธหนักของแต่ละฝ่ายออกจากพื้นที่ขัดแย้ง รวมถึงได้มีการกำหนดกรอบเวลาและเป้าหมายปลายทางในการถอนอาวุธเรียบร้อยแล้ว โดยทั้ง 2 ฝ่ายเห็นชอบในแผนปฏิบัติการ หรือแอคชั่นแพลนที่ได้จัดทำร่วมกัน และมอบหมายให้แม่ทัพภาคที่ 2 ของไทย และผู้บัญชาการภูมิภาคที่ 4 ของกัมพูชาขับเคลื่อนแผนไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งขั้นต้นจะหารือกันเพิ่มเติมในวันที่ 25 ตุลาคมนี้
ทั้งนี้ การถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ขัดแย้ง มีความมุ่งหมายหลักเพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชนตามแนวชายแดน เนื่องจากอาวุธของกัมพูชาส่วนใหญ่ เช่น จรวด BM21 เป็นอาวุธที่มีอำนาจการทำลายเป็นวงกว้าง ยากแก่การควบคุมตำบลกระสุนตก จึงก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน รวมถึงเป้าหมายที่ไม่ใช่เป้าหมายทางทหาร เช่น บ้านเรือน ร้านค้า ไร่นา โรงเรียนและโรงพยาบาล เป็นต้น
ประเด็นที่ 2 เรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
ทั้ง 2 ฝ่ายได้ประสบความสำเร็จในการจัดทำระเบียบปฏิบัติตามมาตรฐานหรือ SOP สำหรับการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดนทั้งในพื้นที่ที่มีการกำหนดเขตแดนชัดเจนแล้ว และพื้นที่ที่ทั้ง 2 ฝ่ายยังเห็นไม่ตรงกัน หลังจากนี้ชุดประสานงานของทั้ง 2 ฝ่าย จะสามารถเริ่มปฏิบัติการเก็บกู้ได้ทันที
ซึ่งที่ผ่านมาศูนย์ปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิด หรือ TMAC ของฝ่ายไทยไม่สามารถดำเนินการหรือเก็บกู้ได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากมักถูกขัดขวางจากฝ่ายกัมพูชาบ่อยครั้ง เมื่อเราเข้าไปใกล้พื้นที่ชายแดน แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ฝ่ายกัมพูชายอมที่จะนำประเด็นการเก็บกู้ทุ่นระเบิดมาพูดคุยในรายละเอียดกันอย่างจริงจัง
ทั้งนี้ การเก็บกู้ระเบิดในพื้นที่ชายแดนมีความมุ่งหมายเพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชน และทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ป้องกันชายแดน ซึ่งฝ่ายไทยได้ยืนยันมาตลอดว่าการเก็บกู้ระเบิดเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการและต้องไม่นำเรื่องเขตแดนมาเป็นข้อจำกัดแต่อย่างใด
ประเด็นที่ 3 การปราบปรามกระบวนการไซเบอร์สแกม
เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราได้รับความร่วมมือมากขึ้นเป็นครั้งแรกจากฝ่ายกัมพูชา โดยหน่วยงานตำรวจของทั้ง 2 ฝ่าย ได้ร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติการ หรือแอกชั่นแพลนเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้ทั้ง 2 ฝ่ายจะจัดตั้งกองกำลังเฉพาะกิจร่วม หรือ Joint Task Force ภายใน 2 สัปดาห์ เพื่อเริ่มกวาดล้างแกนนำหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการไซเบอร์สแกมได้ต่อไป ซึ่งต้องยอมรับว่ามีขบวนการบางส่วนเดินทางไปมาระหว่าง 2 ประเทศด้วยวิธีต่างๆ
นอกจากนี้ ได้ตกลงร่วมกันเกี่ยวกับขั้นตอนที่ชัดเจนในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร หลักฐาน พยาน เหยื่อที่ถูกหลอกลวงและผู้ต้องหา รวมถึงมาตรการคุ้มครองพยานอันจะทำให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ เป็นที่ทราบกันดีว่ากระบวนการไซเบอร์สแกมเป็นภัยคุกคามที่สร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนไทยทุกคน ก่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ภูมิภาคอาเซียน และพื้นที่อื่นๆ ทั่วโลก ตามที่ปรากฏเป็นข่าวให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ
ดังนั้นแผนปฏิบัติการที่ได้ร่วมกันจัดทำขึ้นจึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานตำรวจของไทยและกัมพูชา ซึ่งอาจรวมถึงเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของประเทศอื่นๆ ที่มีประชาชนของตนตกเป็นเหยื่อของขบวนการไซเบอร์สแกมด้วย และ
ประเด็นสุดท้าย เรื่องการจัดการพื้นที่หมู่บ้านชายแดนในจังหวัดสระแก้ว
ตามข้อมูลข้างต้นที่ได้รับการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ JBC ซึ่งนำโดยกระทรวงต่างประเทศ ได้มีผลลัพธ์เชิงบวกสำคัญที่สามารถทำให้หน่วยในพื้นที่นำปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม
โดยทั้ง 2 ฝ่ายเห็นชอบที่จะส่งเจ้าหน้าที่ของตนลงพื้นที่เพื่อสำรวจแนวเส้นที่แต่ละฝ่ายอ้างสิทธิ์ หรือ boundary claim โดยจะทำการสำรวจร่วมจากหลักเขตที่ 42 ถึง 47 ช่วงบ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว
ทั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่ฝ่ายกัมพูชายินยอมร่วมมือกับฝ่ายไทยในการลงพื้นที่เดินสำรวจแนวเส้นอ้างสิทธิ์ และวางหมุดชั่วคราวที่แน่ชัดด้วยด้วยกัน อาจจะทำได้แต่ละฝ่ายยอมรับกับขอบเขตพื้นที่ที่เกิดขึ้นตามผลการสำรวจและจะนำไปสู่การปรับการถือครองที่ดินของทั้ง 2 ฝ่ายได้ต่อไป
ขอยืนยันว่า การวางหมุดชั่วคราวนี่เป็นเพียงเพื่อการสำรวจเท่านั้น และจะไม่กระทบต่อสิทธิของไทยในเรื่องเขตแดนทางบกตามกฎหมายระหว่างประเทศแต่อย่างใด
นอกจากนี้ฝ่ายไทยจะเริ่มดำเนินการสร้างรั้วชายแดนในบริเวณที่มีความชัดเจนของเส้นเขตแดนแล้ว โดยยืนยันว่ารั้วดังกล่าวจะอยู่ภายในเขตอธิปไตยของไทย เพื่อประโยชน์ในการรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนตลอดจนเพื่อป้องกันภัยคุกคามข้ามแดนระหว่างทั้ง 2 ประเทศ
ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น นับเป็นความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญที่เกิดขึ้นจากการประชุม GBC ในครั้งนี้ ซึ่งยังคงมีรายละเอียดหลายเรื่องที่เราต้องร่วมกันติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิดต่อไป
ฝ่ายไทยขอยืนยันว่าเราต้องการเห็นความคืบหน้าที่ชัดเจนในทุกเรื่องตามที่กล่าวไปแล้ว จึงจะพิจารณาการยุติความเป็นปรปักษ์ต่อกัน
ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาได้แสดงความจริงใจในการปฏิบัติตามผลการประชุม GBC ในครั้งนี้ โดยเคร่งครัดเพื่อร่วมกันนำสันติสุขให้กลับคืนสู่ประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ ตลอดจนภูมิภาคอาเซียนในภาพรวม
ผมขอยืนยันในนามของรัฐบาลและกระทรวงกลาโหมว่าจะพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งอธิปไตยและประโยชน์ของชาติและประชาชน โดยคำนึงถึงเกียรติภูมิของประเทศไทยเป็นสำคัญ ขอบคุณครับ