ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ พิษลือโยงสแกมเมอร์ “วรภัค” ไขก๊อก โยนบอมบ์! สละเก้าอี้หนีข้อครหา? แบบนี้ “หนู” ก็ต้องรับผิดชอบ!?
หลัง "ต่อ-วรภัค ธันยาวงษ์" รมช.คลัง อดีตนักการเงินการธนาคาร และ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งได้ไม่นาน ประกาศ "ไขก๊อก" ทิ้งเก้าอี้ รมช.คลัง ระหว่างแถลงข่าวชี้แจงกรณีถูกข่าวลือรุมกระหน่ำว่าเชื่อมโยงกับขบวนการสแกมเมอร์ โดยให้เหตุผลน้ำเสียงดรามาว่า “ไม่อยากให้เรื่องส่วนบุคคลเป็นภาระต่อรัฐบาล”
เรื่องราวเหมือนจะจบลง แต่กลับมีคำถามมากมายตามมา...
ต้องบอกว่า เรื่องนี้เริ่มมาจากกระแสข่าวสแกมเมอร์ ตามด้วยว่า มีนักการเมือง 7 คน มีเอี่ยวในช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมา ทำให้เกิดข่าวลือข่าวเมาต์ โถมใส่ “วรภัค”เต็มๆ!
ทั้งเรื่องพัวพันกับแก๊ง "สแกมเมอร์" ข้ามชาติ โยงใยไปถึงธุรกิจสีเทาฟอกเงินในกัมพูชา! ทำเอา “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย สั่งให้เจ้าตัวแถลง และชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรมาที่ตนเองด้วย
งานนี้รัฐบาลหวั่นไหว อยู่เฉยไม่ได้กับข่าวลือว่า “ครม.เสี่ยหนู”คิดจะปราบสแกมเมอร์เป็นวาระแห่งชาติ ต้องจัดการเรื่องข้อครหาของรัฐมนตรีตัวเองก่อนมั้ย?
เพราะฉะนั้น “วรภัค” จึงออกโรงแถลงข่าวโต้กระแส บอกชัดถ้อยชัดคำยืนยันหนักแน่นด้วยเสียงอันดังว่า "ไม่เคย! ไม่เกี่ยว! ไม่รู้เรื่อง! ทั้งสแกมเมอร์ ทั้งธุรกิจผิดกฎหมาย! ข้าพเจ้าใสสะอาด โปร่งใส ไร้มลทิน! แม้แต่ภริยาก็ไม่ได้มีบัญชีคริปโตรับผลประโยชน์อะไรทั้งนั้น ตามที่มีผู้ไม่หวังดีปล่อยข่าวดิสเครดิต
“วรภัค” บอกว่า มีความพยายามกล่าวหาว่า ตนเองเกี่ยวข้องกับกระบวนการต้มตุ๋น ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรไม่อาจทราบได้ เพราะไม่ได้ไปเกี่ยวข้อง ต้องให้กระบวนการยุติธรรมเข้ามาตรวจสอบหาข้อเท็จจริง โดยที่ตัวเองไม่สนับสนุน และไม่ปกป้องใครที่กระทำผิดกฎหมายทั้งสิ้น
พร้อมกับจะสงวนสิทธิ์ ในการดำเนินการทางกฎหมายอย่างจริงจังกับผู้ที่บิดเบือน และเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ทำให้ตนเสียชื่อเสียง ซึ่งตนพร้อมให้ทุกหน่วยงานตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด
“วรภัค” ยอมรับว่า "รู้จัก" กับ นายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ หรือ “เบน สมิธ” จริง เพราะลูกเรียนโรงเรียนเดียวกันรู้จักกันในฐานะผู้ปกครองเท่านั้น ส่วนจะทำธุรกิจอะไรกับใครที่ไหน ไม่อาจจะล่วงรู้ได้
กระทั่งมาถึงช่วงพีกเป็นประเด็นที่ร้อนฉ่าขึ้นมาก็คือ การตัดสินใจ "ลาออก" ของวรภัค ระหว่างการแถลงข่าว ที่ดูเหมือนจะมาแบบ "ตัดไฟแต่ต้นลม" เพื่อปกป้องรัฐบาลไม่ให้โดนเรื่องส่วนตัวของตนเองมาเป็น "อุปสรรค" ในการบริหารประเทศ
งานนี้เสียงชาวเน็ตและชาวโซเชียลฯ ต่างเข้ามาแสดงความเห็นกันเป็นจำนวนมากโดยแบ่งออกเป็นสองฝ่าย
ฝ่ายหนึ่ง ก็ชื่นชม “ต่อ-วรภัค”เป็นแบบอย่างที่ดี ทำมาตรฐานการเมืองใหม่เป็น “ผู้เสียสละ” ที่นักการเมืองน้ำเน่าทั้งหลายต้องดูไว้
นายกฯหนู ที่เมื่อวานเหมือนมีทีท่าจะตัดหางปล่อยวัด วันนี้ถึงกับเอ่ยปากชมการตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งรมช. ของวรภัค เป็นภาพลักษณ์ที่ดี และจะไม่ตั้งใครมาเป็นรมช.คลัง แทน
ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งตั้งคำถามระคนสงสัยต่อว่า ถ้าบริสุทธิ์ใจจริง ทำไมต้องออก ทำไม “วรภัค” ไม่สู้ให้ถึงที่สุด
เพราะก่อนที่จะตั้งครม. มีภาพคอนเทนต์ให้ “อนุทิน” เชื้อเชิญคนนอกมานั่งเป็นรัฐมนตรี ก็ปรากฏมีคนทักท้วงชื่อ และคุณสมบัติของ “วรภัค” มาก่อนที่กระแส สแกมเมอร์จะลุกลามเป็นไฟลามทำเนียบฯ เหมือนวันนี้
วันนั้น “อนุทิน” ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม เดินหน้าแต่งตั้ง และกระทั่งยืนยันตรวจสอบคุณสมบัติทุกคนมาแล้วเรียบร้อย
คำถามก็คือ "วรภัค" ลาออกโดยตอบข้อครหาโดยส่วนตัวไปแล้วจะเคลียร์หรือไม่ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แบบนี้หากมีคนไปร้อง และ ตั้งคำถามว่า “นายกฯหนู” ควรต้องโดนตรวจสอบด้วยเรื่องกระทำผิดจริยธรรม หรือไม่ ? เหมือนกรณีที่เคยเกิดขึ้นกับรัฐบาลของ “เศรษฐา ทวีสิน” จะเป็นเรื่องขึ้นมาหรือไม่ !?
งานนี้เท่ากับ “วรภัค” ได้วางระเบิดลูกใหญ่ทิ้งไว้กลางทำเนียบฯ ก่อนอำลา!
ทิ้งคำถามให้คนในรัฐบาล และสังคมต้องไปเคลียร์กันเอง! ว่าเรื่องมันจะจบแค่การ "ลาออก" ของ วรภัค หรือจะต้องมีใคร "ร่วมรับผิดชอบ" กับการแต่งตั้งที่มีเครื่องหมายคำถามตั้งแต่แรก หรือไม่?!
คงต้องจับตาดูต่อไปว่าขบวนการสแกมเมอร์ ที่ถูกโยงเข้ากับการเมืองครั้งนี้ จะมีใครโดนไซด์เอฟเฟกต์อีก!
ที่แน่ๆ บทสุดท้ายไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร ใครทำ หรือไม่ทำอะไรไว้ เวลาหรือกระบวนการยุติธรรม กฎหมายจะเป็นเครื่องพิสูจน์ และใครที่ต้องรับผิดชอบก็คงหนีไม่พ้นความจริง...ความจริงซึ่งมีหนึ่งเดียว.
++ คดีคลิปอังเคิล- ม.144 บีบ “อุ๊งอิ๊งค์” ไขก๊อก ก่อนเลือดไหลหมดพรรค
“อุ๊งอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ลาออกจากหัวหน้าพรรคแล้ว โดยให้เหตุผลว่า เพื่อเปิดทางให้มีการยกเครื่องพรรคเพื่อไทย สู้ศึกเลือกตั้งที่จะมาถึง
แต่นักวิเคราะห์ วิจารณ์การเมืองมองว่า เป็นการตัดสินใจที่ช้าไป ไม่ต่างกับตอนที่ถูกร้อง เรื่อง“คลิปเสียงอังเคิล” เข้าข่ายผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง เมื่อเรื่องไปถึงมือศาลรัฐธรรมนูญแทนที่จะลาออก เพื่อตัดจบ กลับปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ “ตายคาศาลฯ” แล้วมีเอฟเฟกต์ตามมา
แม้คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ จะสั่งเพียงแค่ให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยไม่มีคำสั่ง “ตัดสิทธิ์ทางการเมือง” แต่หลังจากนั้นก็มีผู้นำเรื่องนี้ ไปร้องต่อป.ป.ช. เพื่อให้ลงโทษตัดสิทธิ์ทางการเมือง โดยยึดเอาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นสารตั้งต้น
ถ้าป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ส่งเรื่องให้ศาลฎีกา คราวนี้ก็เสี่ยงที่จะเกิดปัญหาใหญ่ทันที
เพราะการลงสมัครรับเลือกตั้ง ของผู้สมัคร ต้องได้รับการเซ็นรับรองจากหัวหน้าพรรค... เกิดสมัครไปแล้ว กำลังหาเสียง และหัวหน้าพรรคถูกชี้มูลความผิดขึ้นมา ย่อมมีปัญหาทางข้อกฎหมาย อาจถึงขั้นทำให้การสมัครนั้นเป็นโมฆะ
ปัญหานี้บรรดาสมาชิกพรรคและส.ส.ต่างรู้ดี ในเมื่อ “อุ๊งอิ๊งค์” ยังไม่ยอมลาออกจากหัวหน้าพรรค จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ “เลือดไหล” เพราะไม่อยากเสี่ยงกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น
อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมา มีการเลือกตั้งซ่อม 2 ครั้ง ที่ศรีสะเกษ และที่ราชบุรี “อุ๊งอิ๊งค์” ก็ไม่เคยลงไปช่วยหาเสียง ด้วยเหตุอันใดคงเดากันไม่ยาก ส่งเพียงนักปราศรัยหมดอายุ อย่าง“ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” กับ“อดิศร เพียงเกษ” ไปเป็นแกนหลัก ผลคือ แพ้ผู้สมัครของพรรคภูมิใจไทย ทั้ง 2 เขต
เมื่อ “อุ๊งอิ๊งค์” ลาออก จึงมีเสียงวิพากวิจารณ์จากผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองว่า อาจมีแรงบีบจาก “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ที่เป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งของพรรค เพราะถ้ายังเฉย เลือดอาจไหลไม่หยุด ดีไม่ดี “สุริยะ” อาจพาลูกทีมออกไปด้วย
แม้“สุริยะ”จะออกมาปฏิเสธเรื่องดังกล่าว แต่หลายคนก็ยังเห็นว่า ในทางการเมือง อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
นอกจากความไม่แน่นอนในคุณสมบัติ และสถานภาพของ “อุ๊งอิ๊งค์” จากเรื่องถูกศาลรัฐธรรมนูญถอดถอน จากตำแหน่งนายกฯแล้ว ยังมีอีกเรื่องสำคัญ ที่อยู่ในมือ ป.ป.ช. คือ...
คดี ม.144 โยกงบฯทำ “ดิจิทัลวอลเล็ต” แจกเงิน 1 หมื่น เป็นวิกฤต ซ้อนวิกฤต และเป็น“ระเบิดลูกใหญ่” ของการเมืองไทย ที่อาจพังทั้งกระดาน
คดีนี้ มีต้นเหตุจากการที่ “รัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์” โยกงบ ปี 68 ส่วนหนึ่งไปใช้ในโครงการ “ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท” ซึ่งถูกร้องว่า เป็นการโยกงบฯ ข้ามหมวด และแปรญัตติในลักษณะที่ขัดรธน. มาตรา144
ความคืบหน้าล่าสุดของคดีนี้ เมื่อวันที่ 8 ต.ค. 68 โฆษก ป.ป.ช. ออกมาแถลงว่า การไต่สวนเสร็จสิ้นแล้ว เหลือเพียงเสนอให้ที่ประชุมใหญ่ ป.ป.ช.พิจารณาชี้ขาด
ซึ่งป.ป.ช. อาจชี้มูลในเดือน พ.ย.หรือ ธ.ค.นี้ ก็เป็นได้เพราะข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ไม่มีอะไรซับซ้อน
สำหรับผู้ที่ถูกร้อง มีตั้งแต่ ครม.เศรษฐา - ครม.อุ๊งอิ๊งค์- สส.-สว.-คณะกรรมาธิการพิจารณางบประมาณ ที่ให้ความเห็นชอบ ในการโยกงบฯดังกล่าว
หากป.ป.ช.ชี้มูลว่ามีการฝ่าฝืนรธน. ก็จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย หากศาลฯวินิจฉัยว่า ฝ่าฝืนจริง รัฐมนตรี หรือ คณะรัฐมนตรี ต้องสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งทันที และ ส.ส.หรือ สว.ที่ร่วมลงมติในลักษณะที่รู้เห็นเป็นใจ ก็อาจพ้นจากตำแหน่ง และถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง
“อนุทิน ชาญวีรกูล” และ รัฐมนตรีอีกหลาย คนก็อยู่ร่วมใน ครม.ที่โยกงบฯนั้นด้วย
หากป.ป.ช.ชี้มูลความผิดออกมา การเมืองไทย ทั้งรัฐบาล และรัฐสภาไทย อาจล้มทั้งกระดาน
ไม่แน่ว่า หากป.ป.ช.ชี้มูลความผิดออกมา เรื่องยังไม่ไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ “อนุทิน” ก็อาจชิงยุบสภาก่อน ก็ได้
เรื่องนี้จะเป็นบทพิสูจน์ว่าป.ป.ช. จะตัดสินอย่างโปร่งใส มีเหตุผล และสังคมยอมรับได้ หรือจะมีแรงจูงใจทางการเมือง จนผลออกมาค้านสายตาประชาชน
และเรื่องนี้ก็อาจเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ “อุ๊งอิ๊งค์” ต้องตัดสินใจลาออก ก่อนที่เลือดจะไหลหมดพรรค เพราะ “นักเลือกตั้ง”ย่อมมองหาที่ ที่ปลอดภัยไว้ก่อน