เปิดร่างระเบียบสำนักนายกฯ ฉบับ "คุ้มครองพระพุทธศาสนา" ครม.รับหลักการ พศ. เห็นชอบตั้ง พระสงฆ์ "คณะวินัยธรกลาง - คณะธรรมธรกลาง” จังหวัดละไม่เกิน 10 รูป มีอำนาจวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับพระวินัย อยู่ใน "บอร์ดคุ้มครองพุทธศาสนาฯ" ส่วนกลาง-ระดับจังหวัด ไม่เกิน 15 คน ทั้งพระสงฆ์-ผู้ทรงคุณวุฒิ ให้อำนาจ "นายกฯ" แต่งตั้ง ตามพระสังฆราชานุมัติ-มหาเถรสมาคม ด้าน "กฤษฎีกา" แนะ พศ.กำหนดแนวปฏิบัติ/มาตรการ/ประสานความร่วมมือให้ชัดเจน เหตุเป็นการใช้อํานาจปกครองคณะสงฆ์ ตามกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์
วันนี้ (22 ต.ค. 2568) มีรายงานจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ 21 ต.ค. ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบในหลักการ ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ.... ตามที่ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เสนอ โดยได้รับความเห็นชอบจาก มหาเถรสมาคม (มส.) แล้ว
ล่าสุดพบว่า สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้เสนอความเห็นในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวตามที่สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)เสนอ
เห็นว่า ร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ. .... ออกโดยอาศัยอํานาจตามความในมาตรา 11 (8) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534
มีสาระสําคัญเป็นการจัดตั้งกลไก คณะกรรมการเพื่อกําหนดมาตรการในการปกป้องและคุ้มครองพระพุทธศาสนา
โดยไม่กระทบกระเทือน พระราชอํานาจพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก พระราชอํานาจสมเด็จพระสังฆราช และอํานาจมหาเถรสมาคม ดังนั้น คณะรัฐมนตรี มีอํานาจที่จะพิจารณาให้ความเห็นชอบได้ตามที่ เห็นสมควร
อย่างไรก็ดี โดยที่การกําหนดมาตรการตามร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีนี้ มีความเกี่ยวข้องกับการใช้อํานาจปกครองคณะสงฆ์ ตามกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์
สมควรที่ พศ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะได้กําหนดแนวปฏิบัติในการกําหนดมาตรการและการประสานความร่วมมือให้ชัดเจน
เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปโดยรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
นอกจากนั้น ร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีดังกล่าว กําหนดให้มี "คณะกรรมการคุ้มครองพระพุทธศาสนาแห่งชาติ" และ "คณะอนุกรรมการคุ้มครองพระพุทธศาสนาจังหวัด"
และให้ค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการ ของกระทรวงการคลังและสํานักงบประมาณ เพื่อประกอบการพิจารณาด้วย
มีรายงานด้วยว่า สาระสำคัญของร่างระเบียบฉบับนี้ มีเป้าหมายเพื่อให้การคุ้มครองพระพุทธศาสนาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับแนวนโยบายของรัฐและรัฐบาล รวมถึงเพิ่มประสิทธิผลในการกำกับดูแลกิจการทางศาสนาให้เป็นเอกภาพ
กำหนดตั้ง “คณะกรรมการคุ้มครองพระพุทธศาสนา” โดยมี นายกรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้ง ตามพระสังฆราชานุมัติและความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม
คณะกรรมการประกอบด้วย กรรมการโดยตำแหน่ง 6 คน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิไม่เกิน 9 คน หน้าที่สำคัญ คือ การกำหนดนโยบาย แนวทาง และมาตรการเพื่อคุ้มครองพระพุทธศาสนา
รวมทั้งเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีในการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล ตั้ง “คณะอนุกรรมการคุ้มครองพระพุทธศาสนาจังหวัด” (อ.คพจ.) ให้มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน เจ้าคณะจังหวัดเป็นที่ปรึกษา อธิบดีกรมการศาสนา หรือผู้แทน พศ. เป็นกรรมการและเลขานุการ
โดยมีหน้าที่วางแนวทางและดำเนินการในระดับจังหวัด เพื่อให้การคุ้มครองพระพุทธศาสนามีเอกภาพทั่วประเทศ
ถือเป็นกลไกสำคัญในการวินิจฉัยปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพระวินัยและธรรมวินัย เพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งทางคณะสงฆ์ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
"คณะวินัยธรกลาง" ประกอบด้วยพระภิกษุผู้ทรงคุณวุฒิในพระวินัยไม่เกิน 10 รูป ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม
มีหน้าที่พิจารณา วินิจฉัย หรือเสนอแนะเกี่ยวกับกรณีข้อขัดแย้งในทางพระวินัย รวมทั้งประเด็นสำคัญทางการปฏิบัติของคณะสงฆ์
"คณะธรรมธรกลาง" ประกอบด้วยพระภิกษุผู้ทรงภูมิธรรมไม่เกิน 10 รูป ทำหน้าที่พิจารณาและวินิจฉัยปัญหาทางธรรมและการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในภาพรวม
ร่างระเบียบกำหนดให้ พศ. เป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานกับคณะกรรมการต่าง ๆ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามแผนคุ้มครองพระพุทธศาสนา รวมถึงสนับสนุนทางวิชาการ การติดตามประเมินผล และรวบรวมข้อมูลการปฏิบัติงานทั่วประเทศ
มีรายงานว่า จากมติ “มหาเถรสมาคม” วันที่ 10 ตุลาคม 2568 เห็นชอบร่างระเบียบดังกล่าว และมอบหมายให้ พศ. ปรับปรุงเพิ่มเติมสาระเกี่ยวกับองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการคุ้มครองพระพุทธศาสนาจังหวัด (อ.คพจ.)
โดยเพิ่มให้ เจ้าคณะจังหวัดทั้งสองนิกายเป็นที่ปรึกษา ซึ่ง พศ.ได้ปรับแก้ตามข้อสังเกตเรียบร้อยแล้วก่อนเสนอ ครม.
สำหรับการประชุมตามระเบียบการประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 26/2568 โดยมีกรรมการมหาเถรสมาคม และที่ปรึกษามหาเถรสมาคมเข้าประชุม
"การประชุมคราวนั้น มี ศาสตราจารย์กิตติคุณ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี เข้าถวายสักการะกรรมการมหาเถรสมาคม เนื่องในโอกาสได้รับมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีซึ่งกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในการสนองงานคณะสงฆ์"