xs
xsm
sm
md
lg

แค่สะพัด “วรภัค ธันยาวงษ์” จะนั่งเป็นประธานบอร์ดปราบสแกมเมอร์...ทำเอา “เสี่ยหนู” รีบออกตัว! ** “อภิสิทธิ์” ติดกับดักตัวเอง เรื่อง MOU43 จะพา ปชป. ลงเหว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


วรภัค ธันยาวงษ์ - อนุทิน ชาญวีรกูล - อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ข่าวปนคน คนปนข่าว


++ แค่สะพัด “วรภัค ธันยาวงษ์” จะนั่งเป็นประธานบอร์ดปราบสแกมเมอร์...ทำเอา “เสี่ยหนู” รีบออกตัว!

งานนี้แค่ชื่อลอยลมมาก็ทำเอาทั้งทำเนียบรัฐบาล วงแตก! ..ไม่ต้องถึงขั้นเซ็นแต่งตั้งเลยทีเดียว

นาทีนี้ เรื่อง“มิจฉาชีพ” หรือที่คุ้นหูว่า “สแกมเมอร์” ถูกยกเป็นวาระแห่งชาติไปเรียบร้อย โดยเมื่อวาน (21 ต.ค.) ในวงประชุมครม. “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ก็ประกาศก้องอย่างขึงขังว่า จะลุยเข่นฆ่าขบวนการชั่วร้ายนี้ให้ถึงที่สุด!

แหม...ถ้าทำได้จริงล่ะก็ สังคมไทยคงยกมือท่วมหัว สาธุ! เพราะพวก “มิจจี้” สร้างความเดือดร้อนให้คนไทย และคนทั่วโลกขนาดไหนก็รู้ๆ กันอยู่ และใครๆ ก็รู้ว่าศูนย์กลางมันอยู่ที่ประเทศเพื่อนบ้านน่ารำคาญ อย่างกัมพูชา

วรภัค ธันยาวงษ์
“สแกมเมอร์”กลายเป็นเรื่องใหญ่ระดับโลก สหรัฐฯ ตอนนี้กำลังตื่นตัวตรวจสอบเส้นทางการเงินของ “ตัวพ่อสแกมเมอร์” อย่าง “เฉิน จื้อ” แห่ง Princes Group ที่ถูกอายัดคริปโตฯ ไปแล้วกว่า 5 แสนล้านบาท ! และ “เสี่ยหนู” ก็เปิดเผยเองว่าในไทยก็มีการตรวจสอบ และมีเบาะแส แถมทูตสหรัฐฯ ก็เพิ่งมาเข้าพบ หารือถึงความร่วมมือในการไล่จับสแกมเมอร์

เรียกว่างานนี้ ปักธงแดง กันให้ว่อน!

แต่เรื่องภายในของรัฐบาลไทย มันก็ดันย้อนแย้งเสียนี่กระไร เมื่อมีข่าวลือหนาหูว่า บอร์ดปราบสแกมเมอร์ ที่กำลังจะคลอดนั้น จะมีการแต่งตั้ง “วรภัค ธันยาวงษ์” รมช.คลัง เป็นประธาน!

เท่านั้นแหละ “วงแตก” เพราะข่าวจากสำนักข่าว “เฟกนิวส์” ที่ออกมาก่อนหน้า และ “รังสิมันต์ โรม” สส.พรรคส้ม ก็เคยอภิปรายไว้ว่า มีนักการเมืองที่มีเอี่ยวกับ สแกมเมอร์ 7 ราย ขณะที่สังคมก็รอคอยคำตอบ ว่ามีใครบ้าง “โรม” ไม่เฉลยสักที งานนี้ก็เลยลือว่าเป็นคนนั้น คนนี้ และก็มีมาถึง “วรภัค” ที่ถูกเชื่อมโยงว่าเป็น 1 ในนั้น... แบบนี้ก็งานเข้าสิพ่อ!

อนุทิน ชาญวีรกูล
ร้อนถึง “เสี่ยหนู” ต้องออกโรงเคลียร์กลางวงสื่อว่า “ไม่มีชื่อ! ยังไม่มี! ไม่เคยมี! และไม่เคยคิดว่าจะมี!” การแต่งตั้ง “วรภัค” เป็นประธานบอร์ดปราบสแกมเมอร์เลยจ้าาา!

“อนุทิน” ย้ำว่า ตัวเองจะนั่งเป็นประธานบอร์ด ส่วนงานด้านการเงิน ก็เป็นหน้าที่ของ “เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง และ งานสืบสวนสอบสวนก็เป็นของ รมว.ยุติธรรม...เรียกว่า พยายามจะสยบข่าวลือไปได้เปลาะหนึ่ง
แต่ที่น่าสนใจคือ...เมื่อถูกถามถึงกรณี “วรภัค” ถูกโยงเข้าขบวนการมิจจี้ ได้อย่างไร!? “เสี่ยหนู” บอกว่า ได้สั่งให้เจ้าตัวไปทำเรื่องชี้แจงมา หลังปรากฏข่าวนี้ แม้จะแถลงผ่านโซเชียลฯ หรือสื่อแล้วก็ตาม แต่ก็ต้องรายงานเป็นลายลักษณ์อักษร กับตัวเองด้วย

แหม...งานนี้ไม่ได้แค่ชี้แจงปากเปล่า แต่ต้องมีเอกสาร บ่งบอกว่า เรื่องนี้มันไม่ได้เล็กๆ อย่างที่คิด!

ด้าน “วรภัค ธันยาวงษ์” เองก็ให้สัมภาษณ์หลัง ครม. สั้นๆ ว่า จะแถลงรายละเอียดภายในสัปดาห์นี้ ก่อนจะเผ่นออกจากทำเนียบฯ ไปอย่างว่องไว

งานนี้ต้องจับตาดูต่อไปว่า การปราบปราม “มิจจี้” จะไปถึงไหน และเสถียรภาพของรัฐบาล ที่โดนข่าวคนใกล้ชิดพัวพัน จะยังคงแข็งแกร่ง หรือไม่...เพราะ “เสี่ยหนู” ก็ลั่นทิ้งท้ายไว้ว่า “หากคนไหนทำผิด ก็ดำเนินการตามนั้น!”

ฟังแล้วก็ได้แต่เตรียมปูเสื่อรอชม และเตรียมเผือกกันยาวๆ

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
++ “อภิสิทธิ์” ติดกับดักตัวเอง เรื่อง MOU43 จะพา ปชป. ลงเหว

เมื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” คัมแบ็ก กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อีกครั้ง สร้างความคึกคักให้กับบรรดาแม่ยก แฟนคลับ ด้วยมโนว่าประชาธิปัตย์ จะได้รับการฟื้นฟูกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

แต่ บรรดานักวิเคราะห์การเมืองมองดูสภาพแวดล้อมในตอนนี้แล้วบอกว่า อาจจะดีขึ้น แต่จะกลับมาเฟื่องฟู ฟู่ฟ่า นั้นเห็นจะยาก
เพราะความยิ่งใหญ่ในอดีตของประชาธิปัตย์นั้นคือ อุดมการณ์ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ต่อสู้เผด็จการ ต่อต้านคอร์รัปชัน ทุกรูปแบบ

แต่ภาพลักษณ์ทางการเมืองในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ประชาธิปัตย์ได้ละทิ้งอุดมกรณ์ดังกล่าวเสียสิ้น

เลือกตั้งปี 62 “อภิสิทธิ์” ประกาศเป็นสัญญาประชาคม “มีลุงไม่มีเรา” เพราะลุงเป็นพวกเผด็จการ พอหลังเลือกตั้ง “อภิสิทธิ์” ลาออก “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” ขึ้นมาเสียบ แล้วพาพรรคประชาธิปัตย์ ไปเป็นนั่งร้านให้กับ“รัฐบาลลุงตู่”

มาถึงยุค “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” เป็นหัวน้าพรรค “เดชอิศม์ ขาวทอง” เป็นเลขาฯ นี่ยิ่งหนัก พาพรรคประชาธิปัตย์ไปร่วมรัฐบาลกับเพื่อไทย “คู่แค้น” ทางการเมืองมา 20 ปี โดยที่ “ชวน หลีกภัย- บัญญัติ บรรทัดฐาน” ได้แต่นั่งมองตาปริบๆ ทำอะไรไม่ได้ เพราะเทิดทูนเสียงส่วนใหญ่ในพรรค

วันนี้ความไว้เนื้อเชื่อใจของประชาชน ที่มีต่อพรรคประชาธิปัตย์นั้นหมดไปแล้ว กระแสดิ่งวูบ ไม่เว้นแม้แต่ในพื้นที่ภาคใต้
เพราะภาพลักษณ์ของประชาธิปัตย์ยุคนี้ในสายตาประชาชน ก็ไม่ต่างจากพรรคการเมืองอื่นๆ คือเข้ามามุ่งแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์

การที่ “อภิสิทธิ์” กลับมาจึงไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น อย่างที่แฟนคลับสีฟ้าคิดกัน เพราะตอนนี้ ไม่มีกระแส “เผด็จการทหาร” ให้ใช้หาเสียงแล้ว มีแต่กระแส รักทหาร ให้กำลังใจทหาร ในการปกป้องดินแดนที่กำลังมีปัญหากับกัมพูชา

แม้แต่ ศิษย์เก่าประชาธิปัตย์ อย่าง “เทพไท เสนพงศ์” ที่จำเป็นต้องเบนเข็มทิศชีวิตไป เป็นนักวิเคราะห์การเมือง ยังออกมาประกาศกับสังคม ว่า “อภิสิทธิ์” ต้องเจอกับอุปสรรค “กับดัก” หลายประการในการกลับมาครั้งนี้ อย่างเช่น

ระยะเวลาของการเตรียมตัว เตรียมทุน เพราะ “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี ส่งสัญญาณออกมาแล้วว่า พร้อมยุบสภา ก่อนกำหนด

การคัดตัวผู้สมัครลง สส.เขต ที่ต้องผ่านกระบวนการของพรรค ส่วนส.ส.บัญชีรายชื่อ ก็มีธรรมเนียมว่าต้องให้เกียรติอดีตหัวหน้าพรรค อยู่ในบัญชีลำดับต้นๆ

ถ้า “อภิสิทธิ์” อยู่ลำดับที่ 1 ก็จะมีอดีตหัวหน้าพรรค อยู่ลำดับถัดไป อย่างเช่น “ ชวน หลีกภัย- บัญญัติ บรรทัดฐาน - จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์- เฉลิมชัย ศรีอ่อน” ก็ 5 คนเข้าไปแล้ว คนที่จะมาเป็นนายทุนพรรค รวมทั้งนักการเมืองรุ่นใหม่ เห็นแล้ว ท้อ!

เช่นเดียวกับ “โหวตเตอร์” ประชาชนคนรุ่นใหม่ เห็นแล้วก็ไม่จูงใจให้ลงคนแนนให้พรรค เพราะมีแต่“ผู้อาวุโส”

เมื่อ“อภิสิทธิ์” ประกาศจุดยืนการทำการเมืองแบบสุจริต ประชาธิปไตยบริสุทธิ์ ไม่มีการซื้อเสียง ก็ต้องกำชับให้ผู้สมัครทุกคน ห้ามซื้อเสียงอย่างเด็ดขาด แล้วอย่างนี้จะสู้กระแส “บ้านใหญ่” ได้หรือ

ในช่วงหาเสียง“อภิสิทธิ์” ยังจะต้องเจอกับ วาทกรรม กรณีการชุมนุมคนเสื้อแดง เมื่อปี 2553 ที่มีคนตาย 99 ศพแม้ ว่าจะเป็นระยะเวลาที่ผ่านมา 10 กว่าปี ก็จะมีคนขุดเรื่องนี้มาตั้งคำถาม เพื่อดิสเครดิต

ยังมีอีกเรื่องสำคัญ ที่ “เทพไท” ไม่ได้หยิบมาพูดถึง อาจเพราะเกรงว่าจะเป็นการ “บั่นทอน” คนกันเอง นั่นคือ เรื่อง MOU 2543 ที่มีการลงนามกันในสมัย “ชวน หลีกภัย” เป็นนายกรัฐมนตรี จนมีผลต่อเนื่องไปถึงพื้นที่บนปราสาทพระวิหาร ที่ไทยต้องเสียให้เขมร และปัญหาเส้นเขตแดนตามแนวชายแดนมาถึงทุกวันนี้

เนวิน ชิดชอบ
เพราะ MOU 2543 ได้กำหนดให้จัดทำหลักเขตแตนตามแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 แม้ไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากที้ประชุมรัฐสภา ตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ 2550

แต่ทางฝ่ายกัมพูชา ก็นำ MOU 2543 และรวมถึงแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ไปอ้างต่อสหประชาชาติ ตามกฎบัตรสหประชาชาติมาตรา 102

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะ “อภิสิทธิ์” ได้นำ MOU 2543 ไปขึ้นทะเบียน องค์การสหประชาชาติ ในรายการชุดสนธิสัญญาของสหประชาชาติ เลขที่ (Volume) 2753 ปี พ.ศ. 2554 โดย MOU 2543 ขึ้นทะเบียนเป็นหมายเลขลำดับที่ 48557 คือขึ้นทะเบียนหลังจาก MOU 2543 ผ่านไปแล้ว 11 ปี ซึ่งปี 2554 เป็นปีที่ “อภิสิทธิ์” เป็นนายกรัฐมนตรี

เรื่องนี้จะเป็นประเด็น สำคัญที่จะพาพรรคประชาธิปัตย์ลงเหว หากมีการพูดถึงในช่วงหาเสียง เพราะกระแสรักชาติ รักแผ่นดิน รักทหาร กำลังมาแรง

ไม่แน่ว่า ลึกๆ แล้ว “อภิสิทธิ์” อาจไม่ได้หวังผลเลิศอะไรกับการเลือกตั้งที่จะมาถึงในครั้งนี้ ขอเพียงจำนวน สส.อย่าน้อยลงกว่าเดิมก็พอ

หากหลังเลือกตั้ง พรรคภูมิใจไทย ได้เป็นรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์ คงจะได้เข้าร่วม รื้อฟื้นบรรยากาศเก่าๆ เมื่อครั้งที่ “เนวิน ชิดชอบ” สลัด “ทักษิณ” หันมากอดเอว “อภิสิทธิ์” อุ้มขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี

เพียงแต่ครั้งนี้กลับกัน “อภิสิทธิ์” ต้องเป็นนั่งร้านให้คนของ “เนวิน” เหยียบขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี


กำลังโหลดความคิดเห็น