วันนี้( 21 ต.ค.) น.ส. ภิญญาพัชญ์ ศันสนียชีวิน สมาชิกวุฒิสภา (สว.) หารือในที่ประชุมวุฒิสภา กรณี อาชญากรรมไซเบอร์ข้ามพรมแดน และปัญหาแก๊งสแกมเมอร์ ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งกำลังเป็นภัยร้ายแรงต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ โดยระบุว่า ขบวนการสแกมเมอร์ในปัจจุบันได้ยกระดับเป็น อุตสาหกรรมอาชญากรรมดิจิทัลที่มีศูนย์บัญชาการชัดเจน โครงสร้างซับซ้อน และเชื่อมโยงกับการฟอกเงิน การค้ามนุษย์ และธุรกิจกาสิโนออนไลน์ในพื้นที่ชายแดน
น.ส.ภิญญาพัชญ์ กล่าวว่ากรณีที่รัฐบาลเกาหลีใต้ส่งทีมพิเศษไปยังประเทศกัมพูชา เพื่อช่วยเหลือพลเมืองเกาหลีที่ตกเป็นเหยื่อแก๊งสแกม คือสัญญาณเตือนให้ไทยต้องตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหา เพราะคนไทยจำนวนมากยังถูกล่อลวงข้ามแดนไปกัมพูชา ถูกบังคับใช้แรงงาน ถูกทำร้าย และยังกลับบ้านไม่ได้จนถึงทุกวันนี้
สถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา และไทย–เมียนมา น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในจังหวัด สระแก้ว ตราด และแม่สอด ที่ยังพบการเคลื่อนไหวของเครือข่ายสแกมโยงกับศูนย์ปฏิบัติการในฝั่ง ปอยเปต และ ท่าขี้เหล็ก แม้จะมีการทลายหลายครั้งแต่ก็ “ถอนหญ้าไม่ถึงราก” เพราะแรงงานไทยจำนวนมากยังถูกหลอกให้ไปทำงานในศูนย์เหล่านี้ กลายเป็นทั้งเหยื่อและผู้กระทำในเวลาเดียวกัน ปัญหาดังกล่าวกระทบต่อ ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตานานาชาติ ซึ่งเริ่มมองว่าไทยเป็น เส้นทางผ่านของเงินสกปรก และศูนย์กลางเทคโนโลยีราคาถูกของขบวนการอาชญากรรมไซเบอร์ เพราะยังพบการใช้ เบอร์โทรศัพท์ไทย บัญชีธนาคารไทย และระบบการเงินไทย ในการหลอกลวงและฟอกเงิน
“แม้ไทยจะมีกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น MOU ไทย–กัมพูชา ไทย–เมียนมา หรือช่องทาง ASEANAPOL และ INTERPOL แต่ทั้งหมดนี้ยังอยู่ในระดับ ประสานงาน มากกว่าการปฏิบัติการจริง จึงเสนอให้จัดตั้ง ศูนย์สืบสวนพิเศษอาเซียน (ASEAN Special Investigation Taskforce) โดยให้ไทยเป็นศูนย์กลาง รวบรวมข้อมูลธุรกรรมการเงินดิจิทัลและการสืบสวนระดับภูมิภาค เพื่อให้การปราบปรามขบวนการนี้เป็นระบบมากขึ้น
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังขาด เจตจำนงทางนโยบายที่ต่อเนื่อง และการสื่อสารสาธารณะเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันดิจิทัล ให้ประชาชนเข้าใจภัยสแกมเมอร์อย่างแท้จริง พร้อมชี้ว่ารัฐมักโทษเหยื่อว่าไม่ระวังตัว แต่กลับไม่สร้างระบบป้องกันให้สังคม ครอบครัว และโรงเรียนมีส่วนร่วมรับมือภัยไซเบอร์
น.ส.ภิญญาพัชญ์ ยังเสนอให้รัฐบาลเร่งจัดตั้ง ศูนย์ประสานงานร่วม ไทย–กัมพูชา–เมียนมา–จีน ภายใน 1 ปี เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติจริง โดยตั้งเป้าช่วยเหลือแรงงานไทยที่ติดอยู่ในศูนย์สแกมไม่น้อยกว่า 500 คน และมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลบัญชีฟอกเงินอย่างต่อเนื่องระหว่าง 4 ประเทศ
“ภัยสแกมเมอร์ไม่รู้จักพรมแดน แต่ความรับผิดชอบของรัฐยังติดอยู่ในแผนที่ ถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องมองอาชญากรรมไซเบอร์เป็น ภัยความมั่นคงของชาติ และต้องแสดงให้โลกเห็นว่า จะไม่ปล่อยให้คนไทยคนใดตกอยู่ในกับดักของอาชญากรรมดิจิทัลอีกต่อไป”น.ส.ภิญญาพัชญ์ กล่าวทิ้งท้าย