xs
xsm
sm
md
lg

“รสนา” โต้เจ้ากรมแผนที่ทหาร ยัน 196 กม.ไทย-กัมพูชาใช้สันปันน้ำเป็นเส้นเขตแดน หมดความจำเป็นต้องใช้ MOU43

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“รสนา” เห็นแย้งเจ้ากรมแผนที่ทหาร ยันเขตแดนไทยกัมพูชา 196 กม.ช่วงที่ไม่มีหลักเขต ปักปันไว้เรียบร้อยแล้ว ตามสนธิสัญญาและอนุสัญญาระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส โดยใช้สันปันน้ำเป็นเส้นเขตแดน ไม่ต้องแบ่งเขตใหม่ จึงไม่จำเป็นต้องใช้ MOU43 ที่ทำให้ไทยเสียเปรียบอีกต่อไป

จากกรณีที่ พล.ท.ชาคร บุญภักดี เจ้ากรมแผนที่ทหาร ให้สัมภาษณ์ต่อสื่มวลชนอ้างความจำเป็นของการมี MOU43 ว่าไทยและกัมพูชาสำรวจหลักเขตแดนเสร็จแล้ว 74 หลัก กินระยะทาง 600 กิโลเมตร เหลืออีก 196 กิโลเมตร ที่เราไม่เคยปักปันหลักไว้เลย นี้คือภารกิจที่ต้องทำต่อ ถ้าเกิดไปยกเลิก MOU ที่ทำมาทั้งหมด 20 ปีก็จะหายไปหมดเลย นั้น น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา กรุงเทพมหานคร โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก รสนา โตสิตระกูล แสดงความเห็นต่อเรื่องดังกล่าวว่า เจ้ากรมแผนที่ทหารควรยึดสันปันน้ำ เป็นพื้นที่ไม่ต้องแบ่งเขต

เจ้ากรมแผนที่ทหารกล่าวว่า “สำรวจหลักเขตแดนแล้วเสร็จ 74 หลัก กินระยะทาง 600 กม. เหลืออีก 196 กม.ที่เราไม่เคยปักหลักไว้เลย อันนี้คือภารกิจที่ต้องทำต่อ ถ้าเกิดไปยกเลิก (MOU) ที่ทำมาทั้งหมด 20ปี ก็จะหายไปหมดเลย” ข้อมูลนี้น่าจะคลาดเคลื่อนทำให้ประชาชนเข้าใจผิดได้ สิ่งที่ทำมาแล้ว 20ปี ที่ตกลงกันได้แล้ว เหมือนอาคารที่สร้างเสร็จแล้ว ต้องยังอยู่ต่อไปได้ การยกเลิก MOU ก็ไม่ต่างจากการเอานั่งร้านออก เมื่อก่อสร้างอาคารเสร็จ ฉันใดก็ฉันนั้น


ส่วนระยะ 196 กม.ที่เจ้ากรมแผนที่ทหารกล่าวว่ายังไม่เคยปักหลักไว้เลยนั้น ดิฉันเข้าใจว่าคือบริเวณพื้นที่สันปันน้ำ ที่มีระยะทาง 195 กม. ที่ในอดีตเคยมีการปักปันเขตแดนระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่4 (พ.ศ.2408 และ พ.ศ.2410 )ทรงโปรดเกล้าให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ดิศ บุนนาค) สมุหกลาโหมปักปันเขตแดนกับฝรั่งเศส โดยขณะนั้นฝรั่งเศสยังยอมรับว่า พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ เป็นเขตแดนของราชอาณาจักรสยาม จนกระทั่งถึงรัชกาลที่ 5 ได้ถือกันว่าสันปันน้ำเป็นเส้นที่แบ่งเขตแดนชัดเจนอยู่แล้ว ตามที่พันโทเบอร์นาร์ด ประธานฝ่ายฝรั่งเศสของคณะกรรมการปักปันผสมสยามฝรั่งเศสชุดแรกที่จัดตั้งตามอนุสัญญา ค.ศ.1904 (พ.ศ. 2447)ได้กล่าวในปาฐกถาที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อ 20 ธันวาคม ค.ศ 1907 (พ.ศ.2450) ว่า “ทางเหนือยอดภูเขาดงรัก เป็นเส้นเขตแดนที่เห็นได้อย่างถนัดชัดแจ้ง”

และต่อมาในปี พ.ศ. 2450 พันเอกมองกิเอร์ ประธานคณะกรรมการฝ่ายฝรั่งเศส ในคณะกรรมการปักปันผสมสยามฝั่งเศส ชุดที่ 2 ซึ่งจัดตั้งตามสนธิสัญญา ค.ศ 1907 (พ.ศ. 2450) ก็บันทึกไว้ในรายงานการประชุมวันที่ 18 มกราคม 2450 ว่า “เส้นเขตแดนเดินไปตามเส้นสันปันน้ำ ซึ่งอยู่ที่หน้าผาเห็นได้จากตีนภูเขาดงรัก”


ดังนั้น ที่กล่าวว่าเราไม่เคยมีการปักปันเขตแดนจึงไม่เป็นความจริง เพราะการปักปันเขตแดนสยาม-ฝรั่งเศส เคยทำมาแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ดังกล่าวแล้ว จนถึงรัชกาลที่ 5 แต่ไม่มีการปักหลักเขตบนสันปันน้ำ เพราะเส้นสันปันน้ำคือแนวเขตแดนที่ตกลงกันไว้แล้ว ด้วยเหตุนี้เอง หลักเขตที่ 1 จึงเริ่มนับจากช่องสะงำ ซึ่งเป็นหลักเขต ที่เริ่มนับหลังจากเส้นสันปันน้ำ และหลักเขตที่ 73 ที่บ้านหาดเล็ก กำหนดโดยการเล็งจากจุดสูงสุดของเกาะกูดมาบนบกเป็นหลักเขตที่ 73

ถ้ายึดตามสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ค.ศ.1904 (พ.ศ.2447) และ ค.ศ.1907 (พ.ศ 2450) ไทยได้ปักปันเขตแดนเสร็จสิ้นไปแล้ว แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปเป็น 100 ปี หลักเขตเดิมย่อมจะสูญหายไปบ้าง การปักหลักเขตใหม่ คือการตรวจดูสภาพและปักหลักเขตให้ใกล้เคียงจุดเดิมที่เคยมีการปักปันไว้แล้ว หาใช่การทำหลักเขตใหม่ทั้งหมด
ถ้าการปักหลักเขตเหลือเพียงอีก 196 กม. ซึ่งก็คือเส้นสันปันน้ำ รัฐบาลก็ควรจะชลอไว้ก่อน เพราะแนวเส้นสันปันน้ำ คือแนวเขตแดนธรรมชาติที่ฝรั่งเศสเคยตกลงว่าไม่ต้องปักหลักเขต เพราะแนวสันปันน้ำคือเส้นแบ่งเขตที่ชัดเจนแล้ว

เราก็ยิ่งควรประกาศยกเลิก MOU 2543 เพื่อจะได้ขอตัดแผนที่ 1:200,000 ออกไปจาก MOU 2543 หรือควรขอเพิ่มแผนที่ 1:50,000 เข้าไปด้วย

แผนที่ 1:200,000 คือแผนที่ที่เจ้าอาณานิคมฝั่งเศสทำขึ้นฝ่ายเดียวโดยที่สยามไม่เคยยอมรับ มาบัดนี้ไทยจะยอมรับแผนที่อาณานิคมฉบับนี้แล้วหรือ?! ทั้งที่ก่อให้เกิดพิพาทชายแดนมาโดยตลอด เพราะแผนที่ 1:200,000 นี้ ใช่หรือไม่ ?!

แผนที่อาณานิคม 1:200,000 คือกฎหมายปิดปาก ที่ทำให้ไทยต้องเสียปราสาทเขาพระวิหารในศาลโลก เมื่อ พ.ศ.2505 และการไปศาลโลกอีกครั้งในปี พ.ศ 2556 ไทยต้องเสียพื้นที่เพิ่มจากพื้นที่แคบๆ 0.25 เมตรรอบปราสาทพระวิหาร (ในสมัย พ.ศ 2505 ) ไปถึงตีนภูมะเขือ ในปี 2556 โชคดีที่ศาลโลกทั้งปี 2505 และ2556 ไม่ตัดสินกรณีแผนที่ 1:200,000

แล้วเพราะเหตุใดทั้งรัฐบาลไทย กรมแผนที่ทหาร และกระทรวงต่างประเทศ จึงยอมรับแผนที่อาณานิคม 1:200,000 ที่จะทำให้ไทยเสียพื้นที่ในเขตอธิปไตยของเราเพิ่มมากไปกว่านี้อีก ?!

แต่กัมพูชายังไม่เลิกความพยายามในการรุกคืบเอาพื้นที่เพิ่มไปตลอดแนวสันปันน้ำตามแผนที่ 1:200,000 และพยายามดึงไทยไปศาลโลกเพื่อจะเคลมพื้นที่ตามแผนที่ 1:200,000 ให้ได้

การยอมรับการปักหลักเขต อีก 196 กิโลเมตรบนสันปันน้ำตามแผนที่ 1:200,000 จะกลายเป็นการยอมให้กัมพูชาขึ้นมารุกล้ำเขตแดนบนพื้นที่สันปันน้ำซึ่งเป็นเส้นพรมแดนธรรมชาติของราชอาณาจักรไทย เพราะถ้าหากรัฐบาลไทยยังขืนดื้อดึงเดินหน้าปักหลักเขตบนพื้นที่สันปันน้ำต่อไป จะก่อปัญหาต่ออธิปไตยของประเทศไทยอย่างร้ายแรง ทั้งในด้านการปกครอง และด้านความมั่นคงของไทย โดยเฉพาะเมื่อมีเพื่อนบ้านที่มีผู้นำแบบกัมพูชาในปัจจุบัน ใช่หรือไม่?!

การประกาศยกเลิก MOU 2543 ด้วยเหตุที่กัมพูชาละเมิดไทยอย่างร้ายแรง กรณียิง BM21 เข้าพื้นที่เขตพลเรือน ทำให้โรงพยาบาล ปั๊มน้ำมัน บ้านเรือนชาวบ้านเสียหาย คนไทยทั้งเด็กและผู้ใหญ่เสียชีวิต โดยรัฐบาลไทยชุดใหม่ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกุลแห่งพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรี จึงมีความชอบธรรม และมีสิทธิยกเลิก MOU 2543 ฝ่ายเดียวตามอนุสัญญากรุงเวียนนา ค.ศ.1969 (พ.ศ.2512) ข้อ 60 โดยสามารถประกาศการยกเลิก ที่จะมีผลบังคับภายในอีก 8 เดือนหรือ 1 ปี ข้างหน้า ซึ่งในระหว่างนั้นย่อมเปิดโอกาสในการเจรจาขอแก้ไขในสิ่งที่ไทยเห็นว่าเป็นการละเมิดเขตแดนอธิปไตยของไทย ดีกว่าจะเดินหน้าสุ่มเสี่ยงต่อการที่ไทยจะต้องเสียดินแดนไปเพราะความเจ้าเลห์เพทุบายของผู้นำฝ่ายกัมพูชา ใช่หรือไม่ ??!!


กำลังโหลดความคิดเห็น