ที่ปรึกษา กมธ.วิสามัญฯ พิจารณา MOU สภาผู้แทนฯ ย้ำไทยมีสิทธิบอกเลิก MOU 43 ตามอนุสัญญากรุงเวียนนา เพราะกัมพูชาละเมิดร้ายแรง พร้อมแจงขั้นตอน แจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้าอย่างน้อย 3 เดือน ระหว่างนี้กัมพูชาอาจขอทบทวน อำนาจต่อรองจะพลิกมาทางไทยทันที ชี้การเลิกไม่ก่อให้เกิดสุญญากาศทางกฎหมาย ไม่ได้เปิดช่องให้กัมพูชานำเรื่องเข้าสู่สหประชาชาติหรือให้มหาอำนาจแทรกแซงได้ง่าย ส่วนแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน แม้จะยังอยู่หลังยกเลิก MOU แต่จะกลายสภาพเป็นแผนที่นอกสนธิสัญญาทันที
นายธเนศ สุจารีกุล ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาบันทึกความเข้าใจ (MOU) 2543 และ 2544 ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา สภาผู้แทนราษฎร ได้อธิบายการเลิกสนธิสัญญาหนึ่งใดที่ไม่มีบทบัญญัติให้เลิกได้ว่า ตาม Vienna Convention on the Law of Treaties 1969 (VCLT) การเลิกสนธิสัญญาหนึ่งใดที่ไม่มีบทบัญญัติให้เลิกได้ ต้องปฏิบัติตามกระบวนการซึ่งกำหนดไว้ใน VCLT เช่น รัฐผู้ขอเลิกต้องแจ้งให้รัฐคู่ภาคีทราบล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษร ลงนามโดยผู้มีอำนาจ แจ้งมาตรการการเลิก และเวลามีผลใช้บังคับซึ่งต้องไม่น้อยกว่า 3 เดือน (นับแต่วันที่รัฐคู่ภาคีได้รับการแจ้ง) ตราบใดที่ยังไม่ครบกำหนดนี้ นิติสัมพันธ์ระหว่างคู่ภาคียังคงเป็นตามสนธิสัญญาเช่นเดิม (ข้อ 65)
ช่วงเวลา 3 เดือนนี้ คู่ภาคีมีโอกาสทบทวนความสัมพันธ์ที่ผ่านมา สามารถแก้ไขสนธิสัญญา ปรับปรุงวิธีปฏิบัติ ซึ่งหากเป็นที่พอใจ ฝ่ายบอกเลิกสามารถถอนการบอกเลิกได้ทุกเมื่อก่อนเวลามีผลใช้บังคับ (ข้อ 68)
ถ้าตกลงอะไรกันไม่ได้เลยภายในเวลานั้น รัฐผู้เลิกหมดพันธกรณีตามสนธิสัญญา แต่การใดที่ตกลงกันก่อนหน้านี้ไม่ได้รับผลกระทบ (ข้อ 70:1) ดังนั้น ที่มีผู้กล่าวว่า เลิกสนธิสัญญาแล้วจะเกิดสุญญากาศ สัญญาต่างๆ ที่ทำไปแล้วจะไร้ผล จะไม่มีเวทีติดต่อเจรจากัน จึงไม่จริง
ดังนั้นการขอเลิก MOU 43 (สัญญา) จึงคล้ายกับการขอทบทวนสนธิสัญญามากกว่าการขอเลิกสนธิสัญญาทั่วไป หากไทยขอเลิกสนธิสัญญา โดยมีผลหลัง 12 เดือน นับแต่วันที่รัฐคู่ภาคีได้รับการแจ้ง นิติสัมพันธ์ระหว่างคู่สัญญายังเหมือนเดิม แต่อำนาจต่อรองจะพลิกมาทางไทยทันที หากกัมพูชาต้องการจะคงสัญญาไว้ กัมพูชาจะต้องขอมาเจรจากับไทย ไทยสามารถขอแก้สัญญา เช่นตัดแผนที่ 1:200,000 ออกเหลือเพียงเอกสารอื่นๆ และขอแก้ข้อ 5 ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ฯลฯ หากไทยไม่พอใจ แค่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปจนครบกำหนด ไทยก็หลุดพ้นจากพันธกรณี
ไทยมีสิทธิเลิก MOU 43 (สัญญา) เพราะกัมพูชาละเมิดสัญญาอย่างรุนแรง (material breach) (ข้อ 60:1) อย่างไรก็ดี สิทธินี้จะหมดไป หากไทยกระทำการใด โดยตรงหรือโดยอ้อม ให้ทุกคนเห็นว่าไทยยังคงเคารพสัญญา (ข้อ 45)
อย่างไรก็ดี หากกัมพูชาต่อสู้ว่าตนไม่ได้ละเมิดสัญญา ไทยกับกัมพูชาต้องระงับข้อพิพาทระหว่างกัน โดยข้อ 8 ของสัญญา คือการปรึกษาหารือและการเจรจา เพราะสัญญายังมีผลใช้บังคับ หากตกลงกันไม่ได้ภายใน 12 เดือน ไทย หรือ กัมพูชา มีสิทธิเสนอเรื่องให้ “คณะกรรมการประนีประนอม” (Commission of Conciliation) ของสหประชาชาติพิจารณา คณะกรรมการประนีประนอมสามารถมีข้อเสนอที่ไม่ผูกมัดไปยังคู่พิพาท แต่ต้องทำให้เสร็จภายใน 12 เดือน
ดังนั้น ในทางปฏิบัติ การเลิกสนธิสัญญาหนึ่งใดที่ไม่มีบทบัญญัติให้เลิกได้ อาจกินเวลากว่า 24 เดือน ดังนั้น ความกังวลว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเฉียบพลัน จนเตรียมการรองรับไม่ทัน จึงเป็นไปได้ยาก
นายธเนศ สุจารีกุล ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการฯ ได้อธิบายต่อไปว่า ตามที่มีผู้เป็นห่วงว่าหากไทยยกเลิกสัญญาไปแล้ว กัมพูชาอาจนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ United Nations Security Council (UNSC) เรียกร้องให้ไทยต้องเข้าสู่กระบวนการระงับข้อพิพาทกับกัมพูชาโดยศาลโลก (ICJ) ตามข้อ 33 วรรค 2 ของกฎบัตรสหประชาชาชาติ ที่ปรึกษาเห็นว่าไทยกลัวเรื่องนี้มากเกินไป หรือเปล่า เพราะตามถ้อยคำของข้อ 33 วรรค 2 นี้ ได้เขียนไว้ชัดว่า UNSC จะใช้อำนาจนี้ ก็ต่อเมื่อข้อพิพาทที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นอันตรายต่อสันติภาพและคามมั่นคงระหว่างประเทศ (likely to endanger the maintenance international peace and security) และ UNSC จะต้องเห็นว่ามีความจำเป็น (when it deems necessary) ที่จะดำเนินการเช่นนั้น ด้วยข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาในขณะนี้ยังห่างไกลจากการน่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อสันติภาพและคามมั่นคงระหว่างประเทศมาก นอกจากนี้ ในทางปฏิบัติ UNSC จะใช้อำนาจนี้ก็ต่อเมื่อประเทศสมาชิกถาวรของ UNSC ทั้ง 5 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา จีน รัสเซีย อังกฤษ และ ฝรั่งเศสเห็นชอบด้วย
นายธเนศ ได้ให้ความเห็นต่อข้อกังวลว่า หากไทยเลิก MOU 43 ไปแล้ว การระงับข้อพิพาทโดยการเจรจาสองฝ่ายระหว่างไทยกับกัมพูชาตามข้อ 8 ของสัญญา จะหมดไป กัมพูชาจะได้รับการปลดเปลื้องจากพันธรณีนี้ และจะสามารถใช้ข้อ 33 วรรค 2 ของกฎบัตรสหประชาชาชาติ United Nations Security Council (UNSC) เรียกร้องให้ไทยระงับข้อพิพาทกับกัมพูชาโดยศาลโลก (ICJ) ว่า UNSC สามารถใช้อำนาจตามข้อ 33(2) ได้ ไม่ว่าจะมี MOU 43 หริอไม่มี MOU 43 อีกทั้งข้อเท็จริงเป็นที่ประจักษ์ว่า กัมพูชาได้ใช้ข้อ 33(2) นี้ ขอให้ UNSC เรียกร้องให้ไทยเข้าสู่กระบวนการระงับข้อพิพาทกับกัมพูชาโดยศาลโลก (ICJ) ก่อนจะมีการสู้รบกันระหว่างประเทศทั้งสอง ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากัมพูชาไม่ได้แยแสต่อ MOU 43 เลย อนึ่ง สิ่งที่ต้องพิสูจน์ทราบให้แน่ชัดก็คือ การที่ UNSC ไม่ได้พิจารณาคำขอของกัมพูชา เป็นเพราะประเทศทั้งสองมี MOU 43 ระหว่างกัน หรือเป็นเพราะเห็นว่าการสู้รบที่ชายแดนระหว่างประเทศทั้งสองยังไม่น่าที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อสันติภาพและความปรองดองระหว่างประเทศกันแน่
นายธเนศ ได้ให้ความเห็นต่อไปด้วยว่า หากไทยจะเลิก MOU 43 โดยอาศัยสิทธิตามข้อ 60 ของ VCLT ไทยต้องแจ้ง (notice) กัมพูชาว่าไทยจะเลิกสัญญา โดยต้องกำหนดวันมีผลใช้บังคับ ไม่น้อยกว่า 3 เดือน ในระหว่างนี้ MOU 43 จะยังมีผลใช้บังคับ รวมทั้งข้อ 8 ของสัญญา คือการเจรจา 2 ฝ่าย ดังนั้น ข้อ 8 นี้ ก็จะยังคงเป็นประโยชน์ต่อไทยในการที่จะปฏิเสธไม่ให้ประเทศมหาอำนาจ เช่น สหรัฐอเมริกา และ จีน เข้ามาก้าวก่าย โดยไทยสามารถที่จะอ้างได้ว่าต้องดำเนินการระงับข้อพิพาทกับกัมพูชาตามกระบวนการของสัญญาข้อ 8 ตาม VCLT ข้อ 65(4)
นายธเนศ ได้ตอบคำถามของผู้ที่สงสัยว่า หากไทยยกเลิก MOU 43 เพราะเกรงว่าแผนที่ซึ่งกำหนดไว้ในข้อ 1(c) ที่ใช้คำว่าแผนที่ซึ่งเป็นผลงานของคณะกรรมาธิการผสม หรือแผนที่ 1:200,000 จะก่อให้เกิดความเสียหายกับไทย เมื่อเลิกไปแล้ว แผนที่นี้จะยังคงมีอยู่หรือไม่ ที่ปรึกษาได้ตอบคำถามนี้ว่าแผนที่นี้ยังคงอยู่ แต่จะกลายสภาพจากแผนที่ซึ่งเป็นผลงานของคณะกรรมาธิการผสมซึ่งมีลักษณะเป็นสนธิสัญญา ไปเป็นแผนที่ที่จัดทำโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว เหมือนเช่นที่เคยเป็นมาในอดีต ไม่ใช่สนธิสัญญาอีกต่อไป