“ปานเทพ” ย้ำประชุม JBC อยู่ภายใต้ MOU43 การเดินหน้าประชุม เท่ากับยอมรับว่ากัมพูชาไม่ได้ละเมิดร้ายแรง ทำให้เสียสิทธิขอยกเลิก ข้ออ้างไม่มีผลผูกพันแสดงว่าไม่เข้าใจหรือไม่ฟังเสียงประชาชน เมื่อ MOU ยังอยู่ ไทยจะถูกกดดันให้ถอนทหารจาก 11 จุด รื้อฐานธงชาติบนภูมะเขือ ห้ามสร้างรั้วกำแพง ถ้าไม่ยอมปฏิบัติตาม เรื่องอาจเลวร้าย เหมือนอิสราเอลถูกศาลโลกสั่งทุบกำแพง รัฐบาลอนุทินต้องรับผิดชอบ
วันนี้(19 ต.ค.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ เรียกร้องให้ประชาชนช่วยกันเผยแพร่เรื่องสำคัญ พร้อมเตือนว่า เหลือเวลาเพียง 2 วัน ก่อนที่ประเทศไทยจะสูญเสียสิทธิในการยกเลิกบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างไทยกับกัมพูชา (MoU 2543) ซึ่งกัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดร้ายแรง
"สรุปว่ารัฐบาลจะเดินหน้าประชุม JBC โดยอ้างว่า การประชุม JBC เป็นการพูดคุยกันในเรื่องแนวทางที่จะดำเนินการ เช่นการใช้ระบบไลดาร์ ในการหาพิกัด ซึ่งไม่มีพันธะผูกพันสัญญาใดๆ แต่เป็นการพูดคุยหาแนวทางร่วมกัน เท่านั้น
"ป่านนี้แล้วรัฐบาลยังไม่เข้าใจและไม่ฟังเสียงประชาชนว่า การประชุม JBC ย่อมเจรจาภายใต้ MoU 2543 เสมือนหนึ่งว่า กัมพูชาไม่ได้มีการละเมิดร้ายแรงอะไรตาม MoU 2543 จะส่งผลทำให้มูลฐานของสิทธิในการยกเลิกสนธิสัญญา ตามมาตรา 60 ของอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยการทำสนธิสัญญา ค.ศ. 1969 ของประเทศไทยสิ้นผลไป ซึ่งจะส่งผลทำให้ประเทศไทย จะมาอ้างการยกเลิก MoU 2543 เพราะกัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดร้ายแรงไม่ได้อีก ตามข้อจำกัดที่ถูกบัญญัติเอาไว้ตาม มาตรา 45 ของอนุสัญญาเดียวกัน
“เมื่อนำ MoU 2543 กลับมาใช้ใหม่ จะกลับมาเป็นอาวุธที่ร้ายแรงของกัมพูชาทันที ประเทศไทยย่อมจะมีความเสี่ยงอย่างยิ่ง ที่อาจจะต้องไม่เพียงถูกเงื่อนไขใน MoU 2543 ให้เสี่ยงถอนทหารทั้ง 11 จุด ที่ประเทศไทยยึดคืนมาได้ ซึ่งรวมถึงภูมะเขือ(เพราะกัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดร้ายแรง และประเทศไทยต้องปกป้องพลเมืองไทย) โดยกัมพูชาสามารถอ้างแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งเป็นแผนที่ฉบับเดียว ที่ให้สำรวจและทำหลักเขตแดนทางบกของ MOU 2543 เท่านั้น
“แต่ประเทศไทยยังมีความเสี่ยงที่ต้อง ถอนหรือรื้อ สิ่งปลูกสร้างซึ่งกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐไทย เช่น ฐานธงชาติไทยที่ภูมะเขือ รวมถึงรั้วชั่วคราว หรือกำแพงถาวร ที่จะจัดทำต่อไปโดยการสนับสนุนของกองทุนหทัยทิพย์ เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ตามข้อ 5 ของ MoU 2543
“และหากไทยไม่ยินยอม สถานการณ์อาจเลวร้ายกว่านั้นเมื่อ สมัชชาใหญ่แห่งองค์การสหประชาชาติอาจให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศออกให้คำปรึกษา เหมือนกรณีให้อิสราเอลทุบกำแพงทั้งหมด เพราะอิสราเอลสร้างกำแพงกั้นปาเลสไตน์ในดินแดนปาเลสไตน์ โดยที่อิสราเอลไม่ได้เป็นประเทศที่ยอมรับเขตอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศด้วยซ้ำ และถึงแม้ว่า ในท้ายที่สุดอิสราเอลไม่ปฏิบัติตามก็ถูกแรงต้านจากประชาคมนานาชาติทั่วโลก
“หากความเลวร้ายทั้งหมดนี้เกิดขึ้น ต้องถือเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล “
อ่าน >> ข้อความต้นฉบับในเฟซบุ๊ก “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์”