ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ “โรม" งานเข้า! "เบน สมิธ" สู้กลับด้วยเอกสาร “ดีเอสไอ” ยันไม่พบประวัติถูกดำเนินคดี
ดูท่าว่าฝั่ง “รังสิมันต์ โรม” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน จะเริ่มออกอาการร้อนๆ หนาวๆ กันบ้างแล้ว เพราะตอนนี้คู่กรณีอย่าง “เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์” หรือ “เบน สมิธ” กำลัง “สู้กลับ” แบบมีหลักฐานรัฐสนับสนุนโต้ข้อกล่าวหา!
เพราะ ล่าสุดกรมสอบสวนคดีพิเศษ “ดีเอสไอ” ได้ออกหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ ยธ 0816/3530 ลงวันที่ 9 ตุลาคม 2568
ถึงนายธนดล สุวัณณะฤทธิ์ ทนายความซึ่งรับมอบอำนาจจาก “เบนจามิน” โดยตรง
สาระสำคัญของหนังสือคือ การ “ตอบกลับ" อย่างเป็นทางการต่อคำร้องขอตรวจสอบของนายธนดล ว่า
“จากการตรวจสอบฐานข้อมูลลายพิมพ์นิ้วมือ และฐานข้อมูลหมายจับของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ไม่ปรากฏชื่อของนายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ หรือ “เบน สมิธ” ว่าเคยถูกดำเนินคดี หรืออยู่ในฐานข้อมูลของกรมสอบสวนคดีพิเศษ แต่อย่างใด”
หนังสือฉบับนี้ ลงนามโดย “ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์” รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ปฏิบัติราชการแทนอธิบดี ดีเอสไอ
ยืนยันชัดเจนว่า “เบน สมิธ” ไม่เคยถูกดำเนินคดี หรือเป็นผู้ต้องหาในสำนวนใดๆทั้งสิ้น
เรียกได้ว่า เบนจามิน เปิดหลักฐาน “ดีเอสไอ” เคลียร์ประเด็นที่ “รังสิมันต์ โรม”โจมตี ด้วยเอกสารราชการเรียบร้อย!
แน่นอนว่า “ทนายธนดล” ก็คงนำหนังสือฉบับนี้แนบไว้เป็นหนึ่งใน “พยานหลักฐานสำคัญ”
เพื่อใช้ยืนยันต่อศาล ในคดีที่ได้ยื่นฟ้อง “รังสิมันต์ โรม” ฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา
พร้อมเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง กว่า 100 ล้านบาทเต็มๆ
พูดง่ายๆคือ ประเด็นตอนนี้ทุกอย่างอยู่ที่ "หลักฐาน" จากที่ “รังสิมันต์ โรม” เคยเป็นฝ่ายตั้งคำถาม วันนี้กลับต้องตอบคำถามว่า “เอกสาร” เพื่อยันคำพูดตัวเองนั้นอยู่ไหน !?
คดีนี้ไม่ใช่ศึกวาทกรรม อีกต่อไป แต่เป็น “ศึกหลักฐาน” ที่จะสู้กันด้วยเอกสารราชการ และข้อมูลจริงทุกบรรทัด
งานนี้ “เบน สมิธ” ไม่ใช่แค่ยื่น ดีเอสไอ แต่ได้ยื่นเรื่องต่อก.ล.ต.ให้ตรวจสอบตัวเอง เพื่อยืนยันว่า ฝ่ายสส.พรรคประชาชนนั้น กล่าวเท็จอีกชั้น
กระแสในตอนนี้ "รังสิมันต์ โรม" เริ่มเปลี่ยนจาก “ผู้เปิดโปง” กลายเป็น“ผู้ต้องชี้แจง”
เรียกได้ว่าศึกนี้เอกสารชี้ขาด
ใครพูดเยอะ แต่ไม่มีหลักฐาน อาจกลายเป็นฝ่ายเสียท่า เสียสุนัขกันละงานนี้ !
++ “ทักษิณ” ยื่นขอพระราชทานอภัยโทษได้ รมว.ยุติธรรม ถวายความเห็น ท้ายที่สุดเป็นพระบรมราชวินิจฉัย
เป็นเวลากว่า 1 เดือนแล้ว ที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ถูกคุมขังที่เรืองจำคลองเปรม ตามที่ศาลฎีกา สั่งบังคับโทษ ซึ่งก็มี ลูกสาว ลูกเขย ตลอดจนคุณหญิงพจมาน ภริยา ผลัดกันไปเยี่ยม ... แต่ยังไม่มีข่าว “โอ๊ค พานทองแท้” ลูกชายคนโตเข้าเยี่ยมเลย
และที่ผ่านมา ก็มีการยื่นฎีกาทูลเกล้าขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะราย ของ“ทักษิณ ชินวัตร” เป็นครั้งที่ 2 ไปแล้ว ในช่วงที่ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” ยังเป็น รมว.ยุติธรรม ซึ่งก็มีรายงานข่าวว่าทาง “พ.ต.อ.ทวี” ได้ถวายความเห็น ยกฎีกาการทูลเกล้าขอพระราชทานอภัยโทษดังกล่าว และเรื่องถูกส่งไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
ต่อมาในรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ที่มี “พล.ต.ต. รุทธพล เนาวรัตน์” เป็นรมว.ยุติธรรม ต้องมารับเผือกร้อน พิจารณาเรื่องนี้อีกครั้ง ก่อนเสนอไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และสำนักงานองคมนตรี ตามลำดับ
หากพิจารณาจากต้นเรื่อง “ทักษิณ ชินวัตร” กลับมารัฐโทษจำคุก จาก 3 คดี รวม 8 ปี มีการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ และได้รับพระราชทานอภัยลดโทษ เหลือ 1 ปี
แต่ “ทักษิณ” ก็เลี่ยงที่จะเข้ารับโทษในเรือนจำ โดยอ้างว่ามีอาการป่วยวิกฤต และได้ไปพักอยู่ที่ห้องวีวีไอพี ชั้น 14 ร.พ.ตำรวจ จนมีการวิพากวิจารณ์ว่า “ป่วยทิพย์” อันเป็นที่มาของคำสั่งศาลฎีกา ให้กลับไปรับโทษเป็นเวลา 1 ปี ตามที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
จึงมีการวิพากวิจารณ์ ว่า การขอพระราชทานอภัยโทษ ครั้งที่สอง ของ “ทักษิณ”นี้ สามารถทำได้หรือไม่!
เรื่องนี้ “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย อธิบายว่า การขอรับพระราชทานอภัยโทษ เป็นสิทธิตามกฎหมายของผู้ต้องโทษ ใน มาตรา 259 ที่ผู้ต้องคำพิพากษาให้รับโทษ เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว
ถ้าจะทูลเกล้าฯ ถวายเรื่องราวต่อพระมหากษัตริย์ ขอรับพระราชทานอภัยโทษ จะยื่นต่อ รมว.ยุติธรรม ก็ได้ ซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งเป็นสิทธิ แต่สิทธินี้จะถูกจำกัดในกรณีที่มีการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษแล้วถูกยก หนหนึ่ง ถ้าถูกยกหนหนึ่งแล้ว ตามมาตรา 264 ระบุว่าจะยื่นใหม่อีกไม่ได้ จนกว่าจะพ้น 2 ปี นับจากวันที่ถูกยกครั้งก่อน
ในกรณีของ “ทักษิณ ชินวัตร” มีพระบรมราชโองการฯ เมื่อวันที่ 31 ส.ค.66 มีพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษเหลือโทษจำคุกต่อไปอีก 1 ปี และวันนี้ศาลฎีกา มีคำสั่งบังคับโทษ “ทักษิณ” จึงเข้าไปรับโทษ ตามคำสั่งของศาลฎีกา
ฉะนั้น จึงไม่มีการยกฎีกาอะไรมาก่อนเลย เพราะพระราชทานอภัยโทษปี 2566 จึงยังไม่มีการยกฎีกาอะไรทั้งสิ้น เพราะ “ทักษิณ” ยังไม่ได้ถวายฎีกาอะไรเลย
ดังนั้น การที่ยื่นครั้งนี้ ถือว่ายื่นได้ เพราะเป็นสิทธิ โดยรมว.ยุติธรรม มีหน้าที่ถวายเรื่องราว ส่งมายังคณะเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ต้องนำเรื่องนี้กราบบังคมทูล เสนอไปยัง กรมราชเลขานุการในพระองค์ สำนักพระราชวัง ซึ่งปกติแล้วองคมนตรี มีหน้าที่ถวายความเห็น ทั้งนี้ การอภัยโทษนั้นมี 2 รูปแบบ คือ ประเภทเฉพาะราย และ อภัยโทษเป็นการทั่วไป
นี่คือ ความเห็นในข้อกฎหมาย เมื่อมีการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษ รมว.ยุติธรรม มีหน้าที่ถวายคำแนะนำ จะยกฎีกา หรือไม่ ซึ่งท้ายที่สุด เป็นพระบรมราชวินิจฉัย