xs
xsm
sm
md
lg

“บวรศักดิ์” ชงไทม์ไลน์ยุบสภา ประชามติควบเลือกตั้ง 29 มี.ค. 69 "ชวน" ชี้ปัญหาอยู่ที่คนไม่ใช่กม. "เท้ง" ขอใช้ร่างปชน.เป็นหลัก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



มือกม.รัฐบาล เสนอไทม์ไลน์ยุบสภา–ประชามติ ควบเลือกตั้ง 29 มี.ค. 69 “ชวน” ย้อนประสบการณ์ใช้รธน.มากที่สุดในสภา ชี้ปัญหาไม่ใช่ที่กม. แต่อยู่ที่คนใช้ “ณัฐพงษ์” เสนอใช้ร่างปชน.เป็นร่างหลัก ยึดโยงปชช.มากที่สุด ชี้ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คำในรธน. แต่อยู่ที่ “คนตีความ”

วันนี้ ( 15 ตุลาคม 2568 )ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาวันที่สอง เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม เป็นวันที่สอง โดยมีสมาชิกอภิปรายแสดงความเห็นกันอย่างกว้าขวางอาทิ นายชวน หลีกภัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายย้อนประสบการณ์การเมืองกว่า 50 ปี ระบุว่า ตนเป็นผู้ใช้รัฐธรรมนูญมากที่สุดในสภาชุดนี้ ตั้งแต่ฉบับปี 2511 เป็นต้นมา รัฐธรรมนูญฉบับแรกใช้เวลาร่างถึง 10 ปี แต่มีอายุเพียง 2 ปี 9 เดือน ก่อนจะสิ้นสุดจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และต่อมาในปี 2517 ก็มีรัฐธรรมนูญที่ถือว่าเป็นประชาธิปไตยที่สุด แต่ก็อยู่ได้เพียง 2 ปี ก่อนเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519

“ บทเรียนทั้งหมดสะท้อนว่ารัฐธรรมนูญจะเขียนดีแค่ไหนก็ไร้ค่า หากคนใช้ไม่เคารพกติกา รัฐธรรมนูญคือหลักของบ้านเมือง ที่กำหนดอำนาจระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ หากฝ่ายใดละเมิดอีกฝ่าย บ้านเมืองย่อมเกิดปัญหา”

นายชวนยังกล่าวถึงรัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งถูกยกย่องว่าเป็นฉบับที่ดีที่สุด แต่กลับถูกล้มในปี 2549 เพราะผู้บริหารมีพฤติกรรมทุจริต แทรกแซงองค์กรอิสระ และละเมิดหลักนิติธรรม จนนำมาสู่รัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ต้องเพิ่มข้อความบังคับให้ทุกองค์กรยึดหลักนิติธรรม

นายชวนย้ำว่า “เราจะมีกฎหมายดีแค่ไหนก็ไม่พอ ถ้าผู้ใช้ไม่ดี” พร้อมเสนอให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่มุ่งปลูกฝังจิตสำนึกนักการเมืองให้ยึดมั่นความสุจริต เพราะปัญหาทุจริตไม่ได้เกิดจากตัวบทกฎหมาย แต่เกิดจาก “คน” ที่เข้ามาบริหารประเทศ

นายชวนยังกล่าวให้กำลังใจคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่ามีบุคลากรที่ดี ขอให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความกล้าหาญ แม้จะถูกวิจารณ์ เพราะเป็นกลไกสำคัญของระบอบประชาธิปไตย

“บ้านเมืองเรามีระบบที่ดีอยู่แล้ว แต่คนใช้ไม่เคารพกติกา เลือกปฏิบัติ และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน กฎหมายที่ดีต้องคู่กับคนดีเสมอถ้าผู้ใช้ยึดมั่นในหลักนิติธรรม บ้านเมืองจะไม่สะดุดล้มซ้ำ ๆ และประชาธิปไตยไทยจะเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน.”นายชวนกล่าว

นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส. แบบบัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวว่า ตนขอเสนอให้ใช้ร่างของพรรคประชาชนเป็นร่างหลักในการพิจารณา เพราะยืนยันว่า สิ่งที่เราคิดมานั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ และยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด รวมถึงข้อห่วงใยเรื่องการแก้ไข หมวด 1 และ หมวด 2 นั้น กลไกปัจจุบันของรัฐธรรมนูญไม่ได้ห้ามแก้ ประกอบกับมาตรา 255 ได้ล็อกไว้อยู่แล้วว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองได้

“รวมถึงข้อห่วงใยในการตัดถ้อยคำ ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และ การฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง สำหรับผมคิดว่าไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ คนที่จะตัดหรือไม่ตัด 2 คำนี้ออก ไม่ใช่ผมหรือท่าน ไม่ใช่สมาชิกรัฐสภา แต่เป็นผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ และปัญหาสำคัญไม่ได้อยู่ที่คำ อยู่ที่คนที่มีอำนาจในการตีความต่างหาก หากนักการเมืองทุจริตเราจัดการทันที แต่เรื่องนามธรรมควรต้องให้ประชาชนเป็นคนตัดสินนักการเมือง ไม่ใช่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่กี่คน” นายณัฐพงษ์กล่าว

หลังจากสมาชิกได้อภิปรายอย่างกว้างขวาง นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า อำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นของรัฐสภาโดยตรง รัฐบาลไม่สามารถเข้าไปก้าวล่วงได้ แต่ในขั้นตอนการจัดทำประชามติ กฎหมายได้กำหนดให้ประธานรัฐสภาแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบ เพื่อหารือร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการกำหนดวันออกเสียงและคำถามที่จะใช้ในการทำประชามติ

นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า ไทม์ไลน์ที่รัฐบาลเสนอ พิจารณาจาก 3 กรอบหลัก ได้แก่ รัฐธรรมนูญปี 2560, พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 และบันทึกความเข้าใจ (MOU) ที่รัฐบาลทำกับพรรคประชาชน ซึ่งกำหนดไว้ว่านายกรัฐมนตรีจะยุบสภาภายใน 4 เดือนหลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 และจะครบกำหนดในวันที่ 31 มกราคม 2569

เมื่อพิจารณาตามรัฐธรรมนูญ กำหนดให้การเลือกตั้งทั่วไปหลังยุบสภา ต้องจัดขึ้นภายใน 45 ถึง 60 วัน ซึ่งคำนวณแล้ววันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2569 เป็นวันที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเลือกตั้งทั่วไป ทั้งยังสอดคล้องกับแผนการเมืองตาม MOU ของรัฐบาล

อย่างไรก็ตามเนื่องจากการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องทำประชามติตามมาตรา 256 (8) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 จึงระบุให้ประธานรัฐสภาแจ้งนายกรัฐมนตรี เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีการออกเสียงประชามติ ซึ่งต้องกำหนดวันลงประชามติไม่เร็วกว่าภายใน 90 วัน และไม่ช้ากว่าภายใน 120 วัน หลังได้รับแจ้งจากประธานรัฐสภา

นายบวรศักดิ์ กล่าวต่อว่า หากรัฐบาลต้องการประหยัดงบประมาณ เนื่องจากแต่ละครั้งที่จัดประชามติใช้เงินกว่า 6,000 ล้านบาท จึงควรจัดทำประชามติควบคู่ไปกับการเลือกตั้งในวันที่ 29 มีนาคม 2569 ซึ่งเมื่อนับถอยหลัง 90 วัน จะตกอยู่ในวันที่ 30 ธันวาคม 2568 เป็นวันสุดท้ายที่นายกรัฐมนตรีและกกต.สามารถประกาศให้มีการทำประชามติได้

ดังนั้นรัฐสภาควรลงมติร่างรัฐธรรมนูญใน วาระสามให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 ถึง 20 ธันวาคม 2568 เพื่อให้มีเวลาอีก 20 วัน ให้ประธานรัฐสภาจัดทำสรุปสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญ และส่งให้นายกรัฐมนตรีกับกกต. เพื่อพิจารณากำหนดวันออกเสียงประชามติร่วมกัน

นายบวรศักดิ์ กล่าวอีกว่า หากระหว่างนี้พระราชบัญญัติประชามติฉบับใหม่ ซึ่งผ่านการพิจารณาของรัฐสภาแล้วและอยู่ระหว่างการโปรดเกล้าฯ มีผลใช้บังคับ จะทำให้สภามีเวลามากขึ้น โดยอาจเลื่อนการลงมติ วาระสาม ออกไปได้ถึงช่วงวันที่ 15 ถึง 19 มกราคม 2569 และให้ประธานรัฐสภาส่งร่างให้รัฐบาลภายในวันที่ 29 มกราคม เพื่อให้ทันกำหนดหารือกับกกต. ก่อนประกาศจัดทำประชามติ

“รัฐบาลไม่สามารถก้าวล่วงการพิจารณาของรัฐสภาได้ แต่จำเป็นต้องมีการประสานระหว่างรัฐบาล สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา เพื่อให้ไทม์ไลน์ทั้งหมดเป็นไปตามกฎหมาย ไม่กระทบต่อกำหนดการเลือกตั้งและประชามติ” นายบวรศักดิ์ กล่าว

ด้าน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย กล่าวในที่ประชุมว่า ไทม์ไลน์ที่ตนเสนอไว้ก่อนหน้านี้ต่างจากของนายบวรศักดิ์ประมาณหนึ่งสัปดาห์ โดยเห็นว่าสามารถลงมติใน วาระสามได้เร็วกว่านั้น หากเร่งรัดการพิจารณาร่างในวาระที่สองให้เสร็จต้นเดือนธันวาคม และเปิดสมัยประชุมวิสามัญเพิ่มเติม จะสามารถลงมติในวาระสุดท้ายได้ภายในวันที่ 8–9 ธันวาคม 2568

“เจ้าหน้าที่รัฐสภาแจ้งว่าหากดำเนินการอย่างเต็มที่ สามารถส่งร่างถึงนายกรัฐมนตรีได้ภายในวันที่ 12 ธันวาคม เพื่อให้ทันขั้นตอนหารือกับกกต. และเตรียมการจัดทำประชามติทันวันเลือกตั้ง” นพ.ชลน่าน กล่าว

จากนั้นเจ้าของร่างทั้ง3 ฉบับได้อภิปรายสรุป ก่อนที่จะให้สมาชิกได้ทำการลงมติ อย่างเปิดเผยด้วยการขานชื่อเรียงตามลำดับรวดเดียวทั้ง3 ฉบับ


กำลังโหลดความคิดเห็น