xs
xsm
sm
md
lg

กลางแปลงหนองจานโมเดล เขมรดิ้นพล่าน!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พล.ต.เบญจพล เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา - อนุทิน ชาญวีรกูล
เมืองไทย 360 องศา

ไม่น่าเชื่อว่าการฉายหนังกลางแปลง ฉายสารคดีกระตุ้นต่อมสำนึกบุญคุณ พร้อมทั้งเปิดซาวด์เสียงผีแบบโหยหวน รวมถึงการปล่อยเสียงเครื่องบิน เอฟ 16 และกริพเพน ออกมากันตอนดึกๆ ต่อเนื่องยาวนาน กันที่บ้านหนองจาน หนองหญ้าแก้ว จะได้ผลเกินคาดขนาดนี้ อย่างน้อยก็ทำให้บรรดาพวกเขมรทั้งหลายดิ้นกันพล่าน ไม่ว่าจะเป็น เขมรฮุนเซน ในกรุงพนมเปญ และที่ชายแดนพวกจ้องฮุบแผ่นดินไทย ต้องขวัญหนีดีฝ่อ ขวัญผวานอนไม่หลับ เพราะไม่รู้ว่าเสียงเครื่องบินที่ว่านั้นไม่รู้ว่าจริง หรือปลอม

ขณะเดียวกัน ก็ทำให้รับรู้ได้เหมือนกันว่า การปะทะกับฝั่งเขมรนั้นบางทีไม่จำเป็นต้องใช้ “รูปแบบ” เพราะเหมือนกับที่กล่าวว่า การใช้รูปแบบ หรือแบบหลักการ สุภาพบุรุษใช้ไม่ได้กับคนบางกลุ่ม กรณีนี้ก็เช่นเดียวกันกับที่ผ่านมา ที่เราต้องตั้งรับ กลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ สูญเสียอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการใช้ “นอกแบบ” หรือไร้รูปแบบ ก็ทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องตกอยู่ในภาวะลำบากได้เหมือนกัน เหมือนกับที่เวลานี้ที่คนไทยกลุ่มหนึ่งอย่าง “กัน จอมพลัง” นำทีมเข้ามาจัดการทุกรูปแบบ จนเขมรดิ้นพล่านกันเลยทีเดียว

อีกทั้งจะว่าไปแล้ว กรณีชายแดนไทย-เขมร ในเวลานี้กำลังสร้างแรงกดดันให้คนไทยมีความตื่นตัวอย่างมาก และกลายเป็นเรื่องน้ำหนึ่งใจเดียวกันแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งหากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าความรู้สึก “ชาตินิยม” ครั้งนี้จะต่างจากเมื่อปี 2554 ที่คราวนั้นคนไทยยังแตกแยก ยังไม่เป็นเอกภาพ และการสู้รบคราวนั้น ก็ทำให้เราต้องเสียพื้นที่ให้กับฝ่ายเขมรไปไม่น้อย โดยเฉพาะในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ และหนึ่งในนั้นก็คือ “ภูมะเขือ” ที่เพิ่งยึดมาได้ โดยกองทัพภาคที่ 2 ในยุคพล.อ.บุญสิน พาดกลาง นั่นแหละ

แม้ว่าในการปะทะกันครั้งล่าสุด เราสามารถยึดคืนพื้นที่กลับมาได้หลายแห่ง แต่ก็ยังไม่สามารถยึดคืนมาได้ทั้งหมด ก็ต้องออกแรงกันต่อไป แต่อย่างไรก็ดี เวลานี้ด้วยกระแสความตื่นตัว ความเป็นชาตินิยมที่เป็นเอกภาพแบบที่ไม่เคยเห็นในรอบหลายสิบปี และโดยเฉพาะอย่างในยุคที่ “ระบอบทักษิณ” ได้พ้นจากอำนาจไปแล้ว ความรู้สึกระแวงสงสัยในเรื่อง “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ระหว่างสองครอบครัว ก็ลดลงไปมาก

สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ ไม่ว่าใครก็ตามที่แสดงท่าที หรือมีความเห็นในทางขัดขวางอารมณ์คนไทย ยิ่งประเภทที่เรียกว่า “คำนึงหลักสิทธิมนุษยชนชนจ๋า” ก็ต้องระวังตัวไว้ด้วย เพราะจะทำให้เกิดอารมณ์ “เหม็นเบื่อ” กับคนไทย เหมือนกับกรณีของ นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา ที่จู่ๆ ก็ออกมาเตือนว่า การที่รัฐบาลปล่อยให้บุคคลทั่วไป เข้าไปกดดันฝ่ายกัมพูชาในพื้นที่ได้ อาจทำให้งานเข้ารัฐบาลเอง

หรือคำพูดของ นายสุณัย ผาสุข ที่ปรึกษาองค์กรฮิวแมน ไรท์ วอทช์ ประจำประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ในรายการกรรมกรข่าวคุยนอกจอ กรณีเปิดเสียงหลอน-เครื่องบิน บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ว่าเข้าใจว่าการออกมาเตือนเป็นขวางกระแส แต่ต้องยืนยันว่า รักชาติอย่างไรไม่ให้ไทยเพลี่ยงพล้ำในเกมการเมืองระหว่างประเทศ การเปิดเสียงนี้ความสะใจมันได้อยู่แล้ว แต่ผลที่ตามมาคือ นี่คือการเจตนาในการใช้เสียงดังรบกวนพลเรือนกัมพูชา นี่เป็นการกระทำต่อพลเรือน ไม่ใช่การกระทำต่อทหาร หรือหน่วยรบ เป็นการเจตนาเปิดใส่พลเรือน และเขาเอาประเด็นนี้ไปขยายผล ยิ่งเราไปสัมภาษณ์กำชับอีกว่า เราเจตนาให้ชาวบ้านกัมพูชา อยู่กันไม่เป็นสุข นี่เป็นการมัดคอตัวเอง

ทั้งนี้ กัมพูชาทำผิดเลวร้ายมาตลอด ทั้งทุ่นระเบิด-โจมตีพลเรือนไทย ซึ่งถูกประณามโดยนานาชาติ-องค์กรสิทธิมนุษยชนมาโดยตลอด ขณะที่ไทยมีภาพเป็นพระเอกมาตั้งแต่ต้น ภาพมันขัดแย้งขาวกับดำชัดเจนว่า ฝ่ายหนึ่งทำผิดสารพัด แต่ไทยยึดหลักความชอบธรรม-ป้องกันตัวเอง และที่สำคัญเราย้ำมาตลอดว่าเราไม่ทำพลเรือนกัมพูชา แต่พอใช้วิธีการแบบนี้ มันทำให้พล็อตเรื่องเปลี่ยนทันที ซ้ำจุดที่เปิดเพลงเป็นพื้นที่กฎอัยการศึก พลเรือนจะเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ทำให้กัมพูชาเอาเรื่องนี้พูดว่าถ้าไม่ได้ไฟเขียวจากหน่วยงานที่ดูแล้ว แล้วกันจะเข้าไปได้ยังไง

แล้วยิ่งมีการให้สัมภาษณ์ของกองทัพ ให้ความหมายว่า รับรู้การกระทำของคุณกัน ยิ่งทำให้เข้าทางกัมพูชา นอกจากนี้ยิ่ง นายกัน จอมพลัง ให้สัมภาษณ์ซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า ต้องการสร้างความเป็นทุกข์ให้พลเรือนกัมพูชา ยิ่งมัดคอไทยเองว่ากระทำผิด การที่ทำให้เขานอนไม่ได้ เป็นการทรมานประเภทหนึ่ง ซึ่งไทยเป็นภาคีในอนุสัญญาต่อต้านการทรมานนี้ และยังผิดกฎหมายทั้งนอกและในประเทศ ถึงพยายามจะเตือนว่า ยุทธวิธีแบบนี้เปลี่ยนเถอะ ไปหาวิธีการอื่นในการผลักดันขับไล่คนกัมพูชาที่รุกล้ำอธิปไตยไทยออกไป

เพราะจากท่าทีและคำพูดดังกล่าวออกไป ก็ได้รับเสียงก่นด่ากลับมาทันควันเช่นกัน ไม่เชื่อก็ลองเข้าไปส่องดูในสังคมโซเชียล ที่มีแต่เสียงด่าทอกันเป็นเสียงเดียว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า เรื่องชายแดนไทย-เขมร อย่ามาขวางอารมณ์คนไทยเวลานี้เป็นอันขาด เพราะหากมองกันถึงปฏิกิริยาของคนไทยเวลานี้ถือว่ามีความตื่นตัวสูงยิ่ง จนเป็นลักษณะที่เรียกว่า “หมดความอดทน” กับเขมรแล้ว จากเดิมที่ผ่านมาไทยเราอาจจะ “หยวนๆ” ไม่ค่อยสนใจอะไรนัก แต่ในเมื่อผู้นำเขมร อย่าง นายฮุน เซน ที่บางทีอาจจะยังไม่เคยรู้ซึ้งถึงนิสัยคนไทยได้ดีพอ อาจนึกไม่ถึงว่า ตัวเองก็“พลาด”ไปแล้ว กับความพยายามที่จะใช้กระแส “ชาตินิยม” เพื่อรักษาอำนาจของครอบครัวตัวเอง เพราะที่ผ่านมาเคยทำได้สำเร็จ ในยุคของระบอบทักษิณ

แต่คราวนี้คาดไม่ถึง และตัวเอง“ถลำลึก” เกินกว่าจะถอยหลังกลับแล้ว เพราะไทย โดยคนไทยบีบให้รัฐบาล และกองทัพ ต้องเดินหน้าให้สุด ประเภทหากยังไม่ยอมขอโทษ หรือถอยออกไป ก็ไม่ต้องมา“ญาติดี” กันอีกเลย การสนับสนุนให้ “ปิดด่าน” และการ “สร้างรั้ว” กั้นชายแดน มันก็สะท้อนความรู้สึกของคนไทยชัดเจนอยู่แล้ว จนทำให้เวลานี้ กลายเป็นแรงกดดัน และแรงหนุนให้ รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ต้องยืนยันหนักแน่นว่า ต้องไปให้สุดทางแบบนี้

ขณะเดียวกัน เป็นที่น่าชื่นใจก็คือ บทบาทของกองทัพภาคที่ 1 ยุคใหม่ ภายใต้การนำของ พล.ท.วรยส เหลืองสุวรรณ และผู้บัญชาการกองกำลังบูรพาคนใหม่ พล.ต.เบญจพล เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ และผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา กล่าวถึง กรณีกัมพูชาร้องเรียน IOT เรื่องเสียงผี ที่ไทยเปิดบริเวณบ้านหนองจาน-บ้านหนองหญ้าแก้ว ว่า จะร้องก็ร้องไป ผมทำในแผ่นดินไทยของผม ผมก็มีพี่น้องทหารที่เข้าเวรเฝ้ายามอยู่ ก็มีความเหนื่อยล้า ผมก็ช่วยให้พี่น้องทหารตื่น แล้วทำไมล่ะ ไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนเลย

“ก็มันทำบ้านผม แผ่นดินผม อยากจะฟ้องอะไรก็ฟ้องไป ผมไม่แคร์ เรื่องนี้ ซึ่งตอนนี้กำลังใจของทหารเราดี ทหารพร้อม เมื่อไหร่เมื่อนั้น”

ดังนั้น งานนี้หากมองในแง่บวกก็ต้องบอกว่า การที่คนไทยมีความสามัคคี มีความรู้สึกชาตินิยมสูงแบบนี้ ทำให้เกิดกระแสตื่นตัวกันทั้งชาติ จนสามารถกดดันให้รัฐบาล และกองทัพต้องตื่นตัวตาม และมั่นใจว่ามีหลังพิงที่แข็งแกร่ง ขณะเดียวกันอีกด้านสำหรับ “ฮุน เซน” นี่คือข่าวร้าย ที่เขาถลำลึกเกินไป จนอาจคาดไม่ถึงว่าคนไทยจะมีอารมณ์ร่วมเรื่องดินแดน อธิปไตยแบบนี้มาก่อน เพราะต้องไม่ลืมว่า “ไทยไม่พึ่งพาเขมรนั้นอยู่ได้ แต่เขมรต้องพึ่งพาไทย ไม่เช่นนั้นอยู่ยาก” !!


กำลังโหลดความคิดเห็น