“เท้ง” บอกหากเสียงโหวตแก้ รธน.เกิน 146 เสียง ไม่ขัดข้อตกลง เหตุวาระแก้รัฐธรรมนูญต้องการเสียงทุกฝ่ายช่วยผลักดัน ชี้ “ภูมิใจไทย”มีสิทธิอ้างร่างแก้ รธน. ตัวเองเป็นร่างหลัก แต่สุดท้ายต้องสู้กันด้วยเหตุผลจะยึดร่างใคร ย้ำ “ผู้ยกร่างฯ”ต้องยึดโยงประชาชนที่สุด
วันที่ 13 ต.ค. 2568 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งพรรคประชาชนได้เตรียมพร้อมอย่างไรบ้าง ว่า พรรคประชาชนได้มีการเตรียมผู้อภิปรายไว้หลายคน หลักๆ ก็จะมีการพูดถึงในเรื่องเหตุผลความจำเป็นว่าทำไมจะต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ แต่ส่วนที่มีความสำคัญมากกว่าก็คือการพยายามชี้ให้ประชาชนเห็นว่าการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้จะเป็นการแก้ปัญหาปากท้อง และคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกคน และมีการเตรียมผู้อภิปรายที่เกี่ยวข้องกับประเด็นสิทธิเสรีภาพ หน้าที่ของรัฐ รวมถึงเรื่องอื่นๆ ด้วย โดยจะให้น้ำหนักในส่วนนี้ไม่แพ้ประเด็นทางการเมืองหรือเรื่องอื่นๆ
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ส่วนอีกเรื่องที่คิดว่าน่าจะมีความสำคัญเช่นเดียวกันก็คือเรื่องของรูปแบบที่มาหรือว่าสูตรของผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ เข้าใจว่าตอนนี้แต่ละพรรคไม่ว่าจะเป็นเพื่อไทย ภูมิใจไทยหรือพรรคประชาชน ก็อาจจะมีข้อแตกต่างในรายละเอียดกันอยู่ และอาจจะต้องสู้และให้เหตุผลกันต่อว่าควรต้องใช้ร่างของใครใดเป็นร่างหลัก เพราะว่าทิศทางตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล หรือ สว.ก็น่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันคือรับทุกร่าง เพียงแต่ว่าจะใช้ร่างใครเป็นร่างหลักที่เวลานี้ยังไม่ได้ข้อสรุปเท่าไร
เมื่อถามว่าพรรคภูมิใจไทยระบุว่าจะใช้ร่างของพรรคภูมิใจไทยเป็นร่างหลัก พรรคประชาชนยอมรับได้หรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า แต่ละพรรคก็น่าจะต้องชูร่างของตัวเองเป็นร่างหลักอยู่แล้ว แต่ตนคิดว่าสิ่งสำคัญกว่าคือการที่เราจะต้องมีผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญที่มีความยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด ซึ่งคงต้องมีการให้เหตุผล มีการพูดคุยกันฝ่ายกลไกของวิปในช่วง 2 วันนี้ว่าจะเอาอย่างไร แต่สุดท้ายแต่ละส่วนเขาก็คงมีสิทธิ์ที่จะเสนอร่างของตัวเองเป็นร่างหลักและให้ลงมติกันไปตามนั้น
เมื่อถามว่าหากเสียงของรัฐบาลเพิ่มขึ้นจาก 146 เสียงเดิม จะส่อขัดต่อ MOA ที่ทำไว้หรือไม่ ซึ่งพรรคภูมิใจไทยระบุว่าจะไปห้ามคนที่มาโหวตให้ไม่ได้ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เรื่องเสียงของรัฐบาลจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไรนั้น ก็อาจจะต้องดูเป็นวาระหรือดูเป็นเรื่องๆ ไป อย่างเรื่องของการอภิปรายไม่ไว้วางใจ อันนั้นเป็นการแบ่งได้ชัดที่สุดว่าใครเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาลกันแน่ แต่เรื่องของรัฐธรรมนูญบางทีมันก็อาจจะไม่ได้เป็นประเด็นวาระที่อาจจะใช้ในการแบ่งระหว่างฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาลขนาดนั้น เพราะเป็นประเด็นที่ต้องอาศัยเสียงของทุกภาคส่วนในการผลักดัน ถ้าเราดูในเรื่องเงื่อนไขของการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งในวาระ 1 และ วาระ 3 นอกจากจะใช้เสียงของ สว. 1 ใน 3 แล้ว ก็อาจจะต้องอาศัยเสียงของฝ่ายค้านด้วย ดังนั้นเมื่อเป็นแบบนี้จึงทำให้วาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจจะไม่ได้เป็นวาระที่ใช้เป็นจุดตัดว่าใครเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล เพราะต้องอาศัยเสียงของทุกคนจึงจะสามารถเดินหน้าแก้ไขได้
เมื่อถามว่าฝั่งพรรคเพื่อไทยแสดงความกังวลว่าพรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทยอาจจะรวมกันแล้วผลักร่างของพรรคเพื่อไทยออก นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าไม่น่าจะมีข้อห่วงใยอะไรในตรงนั้น เพราะว่าตอนนี้เอาเฉพาะในส่วนของพรรคประชาชนเองเท่าที่มีการพูดคุยหารือก็เห็นไปในทิศทางเดียวกับภาพรวมที่พรรคอื่นๆ หรือแม้ต่อ สว.บางส่วนก็มีการสะท้อนความเห็นออกมาแล้วว่าควรจะต้องรับไปทุกร่างของทุกคน เพื่อที่จะได้ไปพูดคุยในรายละเอียดและข้อแตกต่างในวาระ 2 และ 3 เพียงแต่ที่อาจจะยังเห็นไม่ค่อยตรงกันก็คือในเรื่องที่ว่าจะใช้ร่างของใครเป็นร่างหลัก