' วราภัสร์ ' นำทีม กมธ.พัฒนาสังคมฯวุฒิสภา ลงพื้นที่เรือนจำกลางนครราชสีมา ติดตามการคุ้มครองสิทธิผู้ต้องขังกลุ่มเปราะบาง พร้อมให้กำลังใจผู้ต้องขังแดนหญิง
วันที่ 10 ตุลาคม 2568 คณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ด้อยโอกาส และความหลากหลายทางสังคม วุฒิสภา นำโดย นางวราภัสร์ ไพพรรณรัตน์ ประธานคณะกรรมาธิการ ฯลงพื้นที่เรือนจำกลางนครราชสีมา ติดตามการคุ้มครองสิทธิและการจัดสวัสดิการผู้ต้องขังกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะผู้ต้องขังหญิง หญิงที่มีบุตร กลุ่มหลากหลาย ผู้สูงอายุ และคนพิการ รวมทั้งมาตรการฟื้นฟูและเตรียมความพร้อมผู้ต้องขังเพื่อกลับคืนสู่สังคม โดยมีนางสาวจันทร์จิรา หวังวรวัฒนากุล ผู้อำนวยการส่วนพัฒนาผู้ต้องขัง รักษาราชการแทนผู้บัญชาการเรือนจำกลางนครราชสีมา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ พร้อมรายงานข้อมูลที่เกี่ยวข้องและนำตรวจเยี่ยมเรือนจำกลางนครราชสีมา
ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงานของเรือนจำกลางนครราชสีมา ในส่วนของพื้นที่แดนหญิง ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 1 ไร่ 2 งาน ปัจจุบันมีผู้ต้องขังหญิงจำนวน 425 คน ในจำนวนนี้มีผู้สูงอายุ 9 คน ผู้พิการ 6 คน ผู้ป่วยจิตเวช 37 คน ผู้ต้องขังกินยาเป็นประจำ 53 คน และเด็กติดมารดา 4 คน โดยการดำเนินงานของเรือนจำเป็นเป็นไปตามข้อกำหนดกรุงเทพ (Bangkok Rules) ซึ่งครอบคลุมทั้งกระบวนการรับผู้ต้องขัง การตรวจค้น ชี้แจงระเบียบ และการจัดสวัสดิการพื้นฐาน รวมถึงการฟื้นฟูและพัฒนาทักษะอาชีพ ให้กับผู้ต้องขัง อาทิ การฝึกอาชีพตามความสนใจ การอบรมธรรมะ การศึกษาภายในเรือนจำ การฟื้นฟูสุขภาพกายและจิตใจ การเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย โดยการเตรียมตัว 6 เดือนถึง 1 ปีก่อนพ้นโทษ และกรมคุมประพฤติ ราชทัณฑ์ตำบลและราชทัณฑ์ชุมชนจะมีการติดตามดูแลหลังปล่อยเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมตามเทศกาลต่าง ๆ และส่งเสริมการศึกษา เพื่อให้ผู้ต้องขังสามารถนำความรู้ไปใช้ประกอบอาชีพภายหลังพ้นโทษ อันเป็นการลดโอกาสในการกระทำผิดซ้ำ รวมถึงได้รับทราบปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงาน อาทิ ปัญหาข้อจำกัดด้านพื้นที่ในการควบคุมผู้ต้องขังจิตเวชร่วมกับผู้ต้องขังทั่วไป การขาดงบประมาณในการจัดหาของใช้จำเป็นสำหรับผู้ต้องขังสูงอายุ หญิงและเด็ก เช่น นม แพมเพิร์ส ชุดชั้นใน ผ้าอนามัย เป็นต้น ปัญหาการปล่อยตัวผู้ต้องขังตามหมายศาลในช่วงเย็นซึ่งส่งผลให้ผู้พ้นโทษไม่สามารถเดินทางกลับภูมิลำเนาได้ทัน ปัญหาข้อจำกัดของผู้คุมที่จะต้องนำผู้ต้องขังที่เป็นคนพิการออกไปตรวจร่างกายเพื่อทำบัตรประจำตัวคนพิการ และประเด็นด้านเด็กที่ติดมากับมารดา หรือเด็กที่ญาติไม่สามารถรับไปดูแลได้ ซึ่งยังขาดกลไกประสานงานที่เหมาะสม โดยคณะกรรมาธิการเห็นควรส่งเสริมความร่วมมือร่วมกับภาคเอกชนเพื่อสนับสนุนงบประมาณและสิ่งของจำเป็นในการดำเนินงาน รวมทั้งควรมีการพิจารณาหารือแนวทางการปล่อยตัวผู้ต้องขังให้เหมาะสมและปลอดภัย
อย่างไรก็ตามคณะกรรมาธิการได้ลงพื้นที่ พบปะพูดคุยและให้กำลังใจผู้ต้องขังหญิงในแดนหญิงจำนวนกว่า 400 คน พร้อมทั้งตรวจเยี่ยมพื้นที่ภายในแดนหญิง ได้แก่ ห้องนอนผู้ต้องขัง ห้องแม่และเด็ก ห้องอเนกประสงค์ และห้องให้คำปรึกษา ซึ่งคณะกรรมาธิการจะได้นำข้อมูลจากการลงพื้นที่ครั้งนี้ประกอบการพิจารณา ตามหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมาธิการต่อไปด้วย