xs
xsm
sm
md
lg

ถอดรหัสโมเดลประจวบฯ พลิกป่าสู่เมือง พลิกมูลช้างสู่ทองคำ เมื่อการอนุรักษ์สร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เสียงเครื่องยนต์ของรถนำเที่ยวค่อยๆ ดับลงเบื้องหน้าทุ่งหญ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตาในเขตอุทยานแห่งชาติกุยบุรี ภาพโขลงช้างป่ากำลังหากินอย่างสงบ โดยมีฝูงกระทิงเล็มหญ้าอยู่ไม่ไกล คือภาพที่สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวจนยากจะลืมเลือน แต่น้อยคนนักจะรู้ว่า เบื้องหลังภาพอันงดงามนี้ คือผลลัพธ์ของความพยายามพลิก "สมรภูมิความขัดแย้ง" ระหว่างคนกับช้างในอดีต ให้กลายเป็น "ต้นแบบ" ของการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล ที่ซึ่งการอนุรักษ์ไม่ได้เป็นเพียงภาระ แต่คือหัวใจของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนให้เติบโตอย่างยั่งยืน

นี่คือบทสรุปที่เป็นรูปธรรมของ “โครงการบูรณาการการท่องเที่ยวบนพื้นฐานความหลากหลายทางชีวภาพ” ความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่าง สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) หรือ BEDO และ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย (UNDP) โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (GEF) ที่ได้เลือกจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นพื้นที่ต้นแบบ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า ทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพอันประเมินค่ามิได้ สามารถแปรเปลี่ยนเป็นสินทรัพย์ทางเศรษฐกิจที่หล่อเลี้ยงชุมชนได้อย่างแท้จริง
เปลี่ยนกระบวนทัศน์: จาก "ภาระ" สู่ "การลงทุนที่ชาญฉลาด"

แนวคิดดั้งเดิมมักมองว่าการอนุรักษ์เป็นเรื่องของต้นทุนและข้อจำกัดที่ชุมชนต้องแบกรับ แต่โครงการนี้ได้เข้ามาทลายกำแพงความคิดนั้นลงอย่างสิ้นเชิง

ดร.ธนิต ชังถาวร ผู้อำนวยการ BEDO ได้ให้มุมมองไว้อย่างน่าสนใจว่า "หัวใจสำคัญของโครงการนี้ คือการเปลี่ยนมุมมองว่าการอนุรักษ์คือต้นทุน ให้กลายเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้ เราเชื่อว่าเมื่อชุมชนมีรายได้ที่มั่นคงจากการดูแลรักษาธรรมชาติ พวกเขาก็จะกลายเป็นผู้พิทักษ์ทรัพยากรที่ดีที่สุด โครงการนี้จึงเป็นต้นแบบที่แข็งแกร่งในการสร้างรายได้ที่ยั่งยืน ควบคู่ไปกับการรักษาระบบนิเวศให้คงอยู่สำหรับคนรุ่นหลัง"

โมเดลนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเลื่อนลอย แต่คือการลงลึกไปในพื้นที่ ทำงานร่วมกับชุมชน เพื่อค้นหาศักยภาพและแก้ไขปัญหาไปพร้อมกัน จนเกิดเป็นนวัตกรรมและรูปแบบการท่องเที่ยวที่โดดเด่นในสองพื้นที่หลัก คืออุทยานแห่งชาติกุยบุรี และอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด

กรณีศึกษาที่ 1: กุยบุรี - จากสมรภูมิสู่ซาฟารีเมืองไทย
ในอดีต พื้นที่รอบอุทยานแห่งชาติกุยบุรีคือพื้นที่แห่งความขัดแย้ง ช้างป่าบุกรุกพื้นที่เกษตรกรรมสร้างความเสียหาย นำไปสู่ความสูญเสียทั้งของคนและสัตว์ป่า โครงการได้เข้าไปทำงานร่วมกับชุมชน เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส ผ่านการจัดตั้ง “วิสาหกิจชุมชน Kuiburi Ecotourism Club” ที่เปลี่ยนชาวบ้านให้กลายเป็นผู้ประกอบการนำเที่ยวเชิงนิเวศระดับพรีเมียม กิจกรรม "นั่งรถซาฟารีชมช้างป่าและกระทิง" ไม่เพียงสร้างรายได้ที่กระจายสู่สมาชิกอย่างเป็นธรรม แต่ยังสร้างกฎระเบียบที่ทำให้นักท่องเที่ยวได้ชมสัตว์ป่าอย่างเคารพในธรรมชาติ

แต่ความมหัศจรรย์ของกุยบุรีไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ชุมชนยังได้ต่อยอดไปสู่นวัตกรรมที่น่าทึ่งจากภูมิปัญญาท้องถิ่น:
• กระดาษมูลช้าง: วิสาหกิจชุมชนกลุ่มกระดาษจากใบสับปะรดและขี้ช้างป่ากุยบุรี ได้เปลี่ยน "มูลช้าง" ที่ดูไร้ค่า ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์กระดาษสาที่มีเอกลักษณ์สวยงาม เป็นของที่ระลึกที่บอกเล่าเรื่องราวของการอยู่ร่วมกันอย่างสร้างสรรค์
• ผึ้งพิทักษ์ไพร: วิสาหกิจชุมชนผู้เลี้ยงชันโรงและผึ้งโพรงไทย ได้นำองค์ความรู้มาใช้แก้ปัญหาช้างบุกรุกพื้นที่เกษตร โดยใช้ "ผึ้ง" และ "ชันโรง" เป็นแนวป้องกันทางธรรมชาติ ซึ่งไม่เพียงลดความเสียหาย แต่ยังสร้างอาชีพเสริมจากการเก็บเกี่ยวน้ำผึ้งคุณภาพสูง เป็นการตอกย้ำว่าธรรมชาติสามารถแก้ปัญหาของตัวเองได้
กรณีศึกษาที่ 2: เขาสามร้อยยอด - ปลุกหัวใจแห่งพื้นที่ชุ่มน้ำ

อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด คือที่ตั้งของ "ทุ่งสามร้อยยอด" พื้นที่ชุ่มน้ำอันเป็นหัวใจของความหลากหลายทางชีวภาพ โครงการได้เข้ามาส่งเสริมให้ชุมชนเห็นคุณค่าของระบบนิเวศแห่งนี้ จนเกิดเป็น “วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ โดยชุมชนบ้านหน้าทุ่งสามร้อยยอด” ที่เปลี่ยนความงามของทิวทัศน์ให้กลายเป็นกิจกรรม "ล่องเรือถ่อ" อันเป็นเอกลักษณ์ สร้างรายได้และชื่อเสียงให้กับพื้นที่
สิ่งที่น่าประทับใจยิ่งกว่า คือการสร้างผู้สืบทอดเจตนารมณ์ในการอนุรักษ์ ผ่าน “วิสาหกิจชุมชนเด็กรักษ์ทุ่งเพื่อการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์” กลุ่มเยาวชนที่ลุกขึ้นมาทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์น้อย บอกเล่าเรื่องราวของพืชพรรณและสัตว์นานาชนิดในบ้านเกิดของตนเองด้วยความภาคภูมิใจ นี่คือผลลัพธ์ระยะยาวที่สำคัญที่สุด คือการสร้างผู้พิทักษ์รุ่นต่อไปที่เข้าใจและหวงแหนมรดกทางธรรมชาติของตนเอง
บทพิสูจน์ความสำเร็จ ณ "BioMart Hua Hin 2025"
เพื่อเป็นการรวบรวมและเฉลิมฉลองความสำเร็จทั้งหมดนี้ BEDO และ UNDP ได้จัดงาน “BioMart Hua Hin 2025” มหกรรมแสดงและจำหน่ายสินค้าชีวภาพและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนขึ้น ระหว่างวันที่ 1-5 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา ณ ศูนย์การค้า Market Village Hua Hin ซึ่งงานดังกล่าวเปรียบเสมือนบทสรุปที่มีชีวิตของโครงการ

ภายในงานได้รวบรวมผู้ประกอบการจากชุมชนต้นแบบกว่า 40 ราย ที่นำผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงมาจัดแสดงและจำหน่าย ไม่ว่าจะเป็นอาหารท้องถิ่น สินค้าหัตถกรรมจากเส้นใยธรรมชาติ สมุนไพรแปรรูป กาแฟจากไร่ ไปจนถึงกระดาษมูลช้างและน้ำผึ้งชันโรง นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมเวิร์คชอปที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด และการนำเสนอแพ็คเกจท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์โดยตรงจากผู้ประกอบการในพื้นที่

นีฟ คอลิเออร์-สมิธ ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย ได้กล่าวถึงความสำเร็จนี้ว่า "การท่องเที่ยวเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทย UNDP ทำงานร่วมกับประเทศไทยเพื่อให้แน่ใจว่าการลงทุนในภาคส่วนนี้จะควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ธรรมชาติและสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น ประสบการณ์จากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับจังหวัดอื่นๆ รวมถึงเมืองท่องเที่ยวทั่วโลก ให้เห็นแนวทางการท่องเที่ยวที่สามารถสร้างประโยชน์ทั้งต่อผู้คนและธรรมชาติไปพร้อมกันได้"

โมเดลความสำเร็จของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์นี้ จึงไม่ใช่แค่เรื่องราวของการท่องเที่ยว แต่คือบทพิสูจน์ว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนนั้นเกิดขึ้นได้จริง เมื่อทุกภาคส่วนร่วมมือกันเปลี่ยน "ทุนทางธรรมชาติ" ให้กลายเป็น "โอกาสทางเศรษฐกิจ" ที่ไม่ได้ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และนี่คือพิมพ์เขียวสำคัญที่จะนำไปสู่การพัฒนานโยบายการท่องเที่ยวที่รับผิดชอบและยั่งยืนของประเทศไทยต่อไปในอนาคต




















กำลังโหลดความคิดเห็น