ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ "ท็อป วราวุธ" จะทิ้งมรดกพ่อ เพื่อโอกาสแคนดิเดตนายกฯเพื่อไทย!?
ตอนนี้การเมืองไทยเหมือนกับสภาพดินฟ้าอากาศ
ท่ามกลางกระแส “ฝนตก ขี้หมูไหล” นักการเมืองแห่แหนเข้าสังกัดสีน้ำเงิน ฝ่ายสีแดง ก็พยายามสร้างภาพให้ดูว่าพรรคยังยิ่งใหญ่ แถมจะมีเซอร์ไพรส์ ออกมาให้คอการเมืองได้ฮือฮา
แต่นี่ก็ไม่รู้จะเป็นเรื่อง “ฮือฮา” หรือ “ฮา”อย่างเดียว จากข่าวลือให้แซ่ดว่า "ท็อป" วราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าค่าย ชาติไทยพัฒนา ทายาทการเมือง “บรรหาร ศิลปอาชา” นายกรัฐมนตรีคนที่ 21 แห่งเมืองขุนแผนสุพรรณบุรี อาจจะควบรวมกับพรรคเพื่อไทย!
แถมลือกันไปไกลถึงขั้นที่ว่า “ลูกท็อป” อาจจะได้เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับต้นๆ หรืออาจจะถึงขั้นเป็น 1 ในแคนดิเดต นายกรัฐมนตรีเลยทีเดียว!
นี่ถ้าเป็นเรื่องจริงคงต้องเรียกว่าเป็น "ดีล" ที่หลายคนไม่คาดคิด ซึ่ง "สมศักดิ์ เทพสุทิน" แกนนำพรรคเพื่อไทย ก็ออกโรงมาสยบกระแสว่า ยังเร็วไปที่จะพิจารณาในเรื่องนี้
แต่ไม่ว่า "สมศักดิ์" ที่ดูเหมือนปฏิเสธ แต่เรื่องราวที่แพร่สะพัด ก็ห้ามกันไม่อยู่
เริ่มจากการวิเคราะห์ว่า ตอนนี้ “พรรคเพื่อไทย” ต้องการจุดเปลี่ยน ในตัว “แคนดิเดตนายกฯ” เพราะช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมาใช้เปลืองไปเยอะ ตั้งแต่ "เศรษฐา ทวีสิน" มา "แพทองธาร ชินวัตร" ลูกสาวนายใหญ่ มา "ชัยเกษม นิติสิริ " จนมาถึงข่าวว่า จะผลักดัน “ลูกเขยทักษิณ” ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่มาสืบทอดก็ตาม
ไปๆ มาๆ มาที่ “ท็อป-วราวุธ” ที่เชื่อว่าอาจเป็น "ทีเด็ด" ที่จะเสริมแกร่งให้พรรค
งานนี้เลยมีกระแสว่ากำลังมีการ "พูดคุย" กันอย่างเข้มข้น อยู่เบื้องหลัง!
จริงจังถึงขั้นที่ว่า ท่าทีของ “หนูนา” กัญจนา ศิลปอาชา ที่เหมือนจะออกมาเบรกเอี๊ยด...ว่า ยังไม่ได้มีการตัดสินใจ ขอให้รอฟังความชัดเจนจากปากน้องชายเอง หลังกลับจากภารกิจต่างประเทศ ในวันที่ 21 ต.ค.นี้
หากให้ตีความ ลีลา "รอฟังความชัดเจน" แบบนี้ แสดงว่ามันมีอะไรให้ต้อง "ตัดสินใจ" จริงๆ หรือเปล่า?
ถ้าเป็นข่าวลือที่ไม่มีมูลเลย...ป่านนี้ก็คงออกมาปฏิเสธเสียงแข็ง แบบไม่เหลือเยื่อใยไปแล้ว แต่นี่กลับมีคำว่า "ต้องดูหลายอย่าง" โผล่ออกมาก็แสดงว่า...ข่าวลือมีเค้า มีมูล!
ทีนี้ถ้าจะวิเคราะห์ความเป็นไปได้ ทำไมเพื่อไทย ถึงอยากได้ "ท็อป" ?
เพราะ "ท็อป วราวุธ" ไม่ใช่แค่ลูกชายของอดีตนายกฯ บรรหาร ศิลปอาชา แต่เป็นนักการเมืองที่ "มีของ" ครบเครื่อง
บารมีตระกูลศิลปอาชา คือ "บ้านใหญ่"เมืองสุพรรณฯ ที่มีฐานเสียงเหนียวแน่น และเป็น "สายกลาง" ที่ทำงานได้กับทุกขั้ว
โปรไฟล์ดี-มีผลงาน จบปริญญาโท ด้าน Finance and Banking แถมผ่านงานรัฐมนตรีมาแล้วหลายกระทรวง ทั้งรมช.คมนาคม รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และที่โดดเด่นสุดๆคือ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่สร้างภาพลักษณ์คนรุ่นใหม่ ใส่ใจโลกได้ดี
ความสดใหม่ หากพรรคเพื่อไทยต้องการหาแคนดิเดตนายกฯ ที่ไม่ซ้ำหน้า ไม่ถูกตราหน้าเป็น “ทายาทอสูร” ของนายใหญ่ เป็นที่ยอมรับของสังคมวงกว้าง โดยเฉพาะชนชั้นกลาง และคนรุ่นใหม่ มีภาพลักษณ์ดี และเคยเป็นรัฐบาลมาก่อน รู้งานแต่ไม่ใช่คนของเพื่อไทยดั้งเดิม... “ท็อป-วราวุธ” ตอบโจทย์ทุกข้อ!
ก่อนศึกเลือกตั้งใหญ่จะเริ่ม การดึง "ท็อป-วราวุธ” เข้าร่วม คือการ "เสริมทัพ" และส่งสัญญานไปถึงบ้านใหญ่เก่าๆ ที่จะตีจาก หรือกำลังชั่งใจให้มั่นใจและ "ตัดกำลัง" คู่แข่งไปในตัวด้วย!
คำถามอยู่ที่ว่า แคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย...จะใช่เก้าอี้ที่ "ท็อป-วราวุธ" ต้องการหรือไม่!?
ถ้าดีลนี้เกิดขึ้นจริง ก็คงไม่จบแค่การเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อ ธรรมดาๆ แต่การเป็น "แคนดิเดตนายกฯ" ของเพื่อไทย คือ เดิมพันสูงสุดที่ วราวุธและครอบครัว จะได้รับตอบแทน
มองในแง่ดี สำหรับ “ลูกท็อป” เป็นการอัปเกรด สถานะทางการเมืองจากหัวหน้าพรรคขนาดเล็ก ที่โอกาสเป็นนายกฯได้ยาก ไปสู่การเป็น "ตัวเต็ง" ชิงเก้าอี้นายกฯ ในพรรคที่มีโอกาสชนะสูง
แต่สิ่งที่ต้องแลกคือการ ยุติบทบาทหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ที่สร้างมากับมือ... และต้องยอมเป็นส่วนหนึ่งของเพื่อไทย...ซึ่งตรงนี้แหละ ที่ต้องดูว่า ตระกูลศิลปอาชา จะตัดใจจากพรรคเก่าได้หรือ!?
วันที่21ตุลาคมนี้ จึงไม่ใช่แค่วันที่รอฟังคำพูดจากท็อป...แต่คือวันที่อาจเป็น "จุดเปลี่ยน" ตามกระแสข่าวลือหรือไม่!?
"ท็อป วราวุธ" จะยอมสวมเสื้อเพื่อไทย ก้าวไปเป็นแคนดิเดตนายกฯ เพื่อแลกกับโอกาสทางการเมืองครั้งสำคัญหรือไม่? หรือจะเลือก "รักษามรดก" ที่พ่อสร้างไว้ต่อไป ?
ดรามานี้คงยังไม่จบง่ายๆ มิหนำซ้ำ บอกเลยว่าชั่วโมงนี้ แวดวงการเมืองจะมีเรื่องดรามาอะไรในทำนองนี้ ออกมาอีก แน่นอน!
++ จังหวะนรกของพรรคส้ม!! “คดี44สส.”ในมือ ป.ป.ช จะชี้มูลความผิดอย่างช้าธันวาคมนี้
วันก่อน “สุรพงษ์ อินทรถาวร” รองเลขาธิการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงานป.ป.ช. ที่มาทำหน้าที่แทน เลขาธิการป.ป.ช.คนก่อน ที่ลาออกไป ได้ถือโอกาสเปิดตัวพร้อมแถลงความคืบหน้า“คดีการเมือง”ที่อยู่ในมือป.ป.ช.หลายคดี
อาทิ คดี “แพทองธาร-ครม.” โยกงบฯ ทำดิจิทัลวอลเล็ต ฝ่าฝืน รธน. มาตรา144 ตอนนี้ไต่สวนเสร็จแล้ว รอชงที่ประชุมใหญ่ชี้ขาด ส่วนกรณี “คลิปเสียงฮุน เซน” ที่ถูกร้องผิดจริยธรรมร้ายแรง เพิ่งได้คำวินิจฉัยศาลรธน.ฉบับเต็ม ตอนนี้อยู่ในขั้นตอน ศึกษารายละเอียดข้อเท็จจริง , คดีทักษิณ ชั้น14 ก็มีตัวละครเพิ่มมาอีก 2 คน
คดี “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” แจกถุงยังชีพ ได้แจ้งข้อกล่าวหาไปทางไปรษณีย์แล้ว และก็ได้รับการชี้แจงกลับมาแล้ว ตอนนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา คาดว่าจะใช้เวลาไม่นานนัก ในการสรุปสำนวนคดี
ไฮไลต์ที่น่าสนใจคือ คดีของ “พรรคส้ม” เพราะน่าจะมีผลต่อการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง คือ“คดี 44 อดีต สส.พรรคก้าวไกล” ที่ร่วมกันเสนอ และร่วมกันลงชื่อในร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112
ความคืบหน้าเดินไปถึงขั้นสอบพยานหลักฐานเสร็จแล้ว เตรียมสรุปสำนวน เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการป.ป.ช. เพื่อพิจารณาชี้มูลความผิด ... คาดว่าเร็วสุดคือเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายน หรือ อย่างช้าไม่น่าจะเกินธันวาคมนี้
คดี 44 สส.นี้ เกิดจาก “ธีรยุทธ สุวรรณเกสร” ทนายความ ยื่นคำร้องต่อป.ป.ช. เมื่อ 2 ก.พ.67 เพื่อขอให้ไต่สวน และดำเนินคดีกับ สส.พรรคก้าวไกล (ขณะนั้น) จำนวน 44 คน ฐานฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีร่วมกันเสนอ ร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า เป็นการล้มล้างการปกครองระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
44 สส.ก้าวไกล ที่ถูกป.ป.ช.ดำเนินการไต่สวนนั้น ส่วนหนึ่งถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ไม่ได้เป็นสส.แล้ว ปัจจุบันยังมีที่เป็น สส.สังกัดพรรคประชาชน 25 คน แบ่งเป็น สส.เขต 8 คน สส.บัญชีรายชื่อ 17 คน
โดยเฉพาะ สส.บัญชีรายชื่อนั้น แต่ละคนเรียกได้ว่าอยู่ระดับแถวหน้าของพรรคทั้งนั้น อาทิ “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หัวหน้าพรรคปชน. ,ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค, นิติพล ผิวเหมาะ , ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ,นายประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ ,ณัฐวุฒิ บัวประทุม , นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร , สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ , รังสิมันต์ โรม เป็นต้น
“สมชัย ศรีสุทธิยากร” อดีต กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มองเห็นผลกระทบที่จะเกิดกับพรรคประชาชน ทันที พร้อมระบุ “ไทม์ไลน์” ให้เห็นกันชัดๆ
ถ้า ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ไม่ว่าจะผิดกี่คนก็ตาม ต้องส่งเรื่องต่อไปยังศาลฎีกา เมื่อศาลฎีกาประทับรับฟ้อง หากบุคคลดังกล่าวเป็น สส. ก็ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ และหากถึงที่สุด ศาลตัดสินว่าผิด ก็จะถูกตัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต และ ตัดสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี
หากจังหวะที่ป.ป.ช. ส่งเรื่องให้ศาลฯ คือเดือนธันวาคม ศาลฎีกาจะใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน เพื่อวินิจฉัย พิพากษา ซึ่งอาจจะเป็นช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2569 ซึ่งเป็นช่วงหลังยุบสภา และมีการสมัครรับเลือกตั้ง หรือเป็นช่วงที่สมัครรับเลือกตั้งเสร็จแล้ว และอยู่ระหว่างการหาเสียง
หากรับสมัครเสร็จสิ้น มีหมายเลขผู้สมัครแล้ว เกิดมีการตัดสิทธิทางการเมือง บุคคลดังกล่าวจะขาดคุณสมบัติทันที ใครกาเลขดังกล่าว จะเป็นบัตรเสีย
กรณีบุคคลนั้น เป็นผู้สมัครสส.บัญชีรายชื่อ และได้สส.เท่าไร ก็ให้กลายเป็นสิทธิของบัญชีรายชื่ออันดับถัดไป
หากผู้ถูกตัดสิทธิ บังเอิญเป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรค ทั้งสามคน ก็เท่ากับว่าพรรคประชาชนจะไม่เหลือแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเลย
แม้พรรคประชาชนจะชนะเลือกตั้งถล่มทลาย แต่ถ้าไม่มีแคนดิเดตนายกฯเหลืออยู่ ถ้าไม่เรียกว่าเป็น “จังหวะนรก” ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร
นี่เป็นการมอง “ฉากทัศน์” ในด้านลบไว้ก่อน เพื่อที่พรรคส้มจะได้เตรียมตัวรับมือกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้น