“วิป 3 ฝ่าย” เคาะวันถก 3 ร่าง แก้ไขรธน. 14–15 ต.ค. “วันนอร์” ย้ำ เดินตามคำวินิจฉัยศาล รธน. ทุกขั้นตอน “ส.ว.” ยันไม่ขัด หากไม่แตะหมวด 1–2 “ภราดร” มั่นใจ กมธ. พิจารณาไม่เกิน พ.ย. เปิดสภาฯ สมัยหน้า ธ.ค. เดินหน้าวาระ 2–3 ได้ทัน
วันนี้ (8ต.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมสภาผู้แทนราษฎร (วิป) รัฐบาล ฝ่ายค้าน และ สว. ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภา เป็นประธานการประชุม วาระพิจารณาการกำหนดเวลาการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมมาตรา 256 แก้ไขเพิ่มเติมหมวด 15/1 วันที่ 14-15 ตุลาคม ของพรรคภูมิใจไทย (ภท.) พรรคประชาชน (ปชน.) และพรรคเพื่อไทย (พท.)
ภายหลังการประชุม นายวันมูหะมัดนอร์ ให้สัมภาษณ์ว่า ที่ประชุมวิป 3 ฝ่ายเห็นว่าจะพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ฉบับรวมกัน แต่การลงมติในวาระที่ 1 จะแยกกันลงมติ และจะมีการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญเพื่อพิจารณาในวาระ 2 และ 3 จำนวน 42 คน โดยจะใช้เวลาในการอภิปรายทั้งหมดรวมการเสนอร่างทั้ง 3 ฉบับ 19 ชั่วโมงครึ่ง แบ่งเป็นเวลาของประธานในที่ประชุม 1 ชั่วโมง สว. 5 ชั่วโมงครึ่ง พรรคร่วมรัฐบาล 3 ชั่วโมง และพรรคร่วมฝ่ายค้าน 10 ชั่วโมง ทั้งนี้การลงมติอาจจะใช้เวลานาน เนื่องจากเป็นการลงมติแบบขานชื่อทีละบุคคลว่าจะแต่ละท่านรับ ไม่รับ หรือรับหลักการทั้ง 3 ร่าง หรือไม่รับหลักการทั้ง 3 ร่าง
เมื่อถามว่า จากการพูดคุยกัน วิป 3 ฝ่ายมีข้อกังวล เกี่ยวกับเนื้อหาอะไรบ้างหรือไม่ นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ไม่มีข้อกังวลเพราะเป็นเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีความเห็นร่วมกันอยู่แล้วว่าจะต้องมีการแก้ไข และการแก้ไขก็ต้องเป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยที่ศาลรัฐธรรมนูญก็มีการวินิจฉัยมาทั้งหมดแล้วว่าจะสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้อย่างไร วิธีไหนบ้าง ที่มาของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) จะเป็นอย่างไร โดยในที่ประชุมมีการนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมาให้ตัวแทนผู้เข้าร่วมประชุมเพื่อนำไปเป็นหลักเกณฑ์ในการอภิปรายของสส.และสว. ซึ่งหากเดินไปตามนี้เราก็สามารถที่จะพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญได้
นายวันมูหะมัดนอร์กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม เรื่องรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องใหญ่ที่จะต้องมีการจะต้องมีการพิจารณาถึงวาระ 1 2 และ 3 โดยมีเงื่อนไขว่าการแก้ไขได้จะต้องมีเสียงมากอย่างไร สส.ต้องโหวตได้เท่าไร เป็นเรื่องของรายละเอียดและขั้นตอนในการประชุมรัฐสภา ซึ่งจะต้องมีการพิจารณาต่อไป
ด้านนายวุฒิชาติกล่าวถึง สว.ที่จะต้องมาร่วมโหวตร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 1 ด้วย ซึ่งโมเดลของ ส.ส.ร.ที่จะต้องเป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ว่า เราดูคำวินิจฉัยฉบับเต็ม ซึ่งต้องปฏิบัติตาม เพราะคำนิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร ซึ่งประเด็นของ สว. เราเห็นด้วยว่า รัฐธรรมนูญบางมาตราที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาทางการเมือง เรายินดี แต่ สว. ส่วนใหญ่ 80-90 เปอร์เซ็นต์ มีความเห็นตรงกันคือไม่เห็นด้วยกับการแตะต้องหมวด 1 และหมวด 2 ซึ่ง สว.ไม่เอาด้วยแน่นอน
เมื่อถามว่าติดใจที่มาของ ส.ส.ร. ที่มีทั้งทางตรงและทางอ้อมหรือไม่ นายวุฒิชาติกล่าวว่าสำหรับตนไม่ติดใจ เพราะความจริงต้องปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นหลักว่าการได้มาซึ่ง ส.ส.ร. ให้รัฐสภาเป็นผู้เลือก โดยประชาชนไม่สามารถเลือกได้โดยตรง ซึ่งคำวินิจฉัยก็มีมาชัดเจน
เมื่อถามว่าจะเป็นสัญญาณบวกทั้ง 3 ฉบับในวาระแรกเลยหรือไม่ นายวุฒิชาติ กล่าวว่าตนเชื่อว่าคร่าวๆที่ดูคงไม่เป็นประเด็นปัญหาทั้ง 3 ร่าง ส่วนรายละเอียดค่อยไปว่ากัน
ขณะที่นายภราดร ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรค ภท. ในฐานะรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีที่นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ในฐานะอดีตเลขานุการคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ร่วมกันพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ที่มีการระบุว่าหากมีการตั้งกมธ.แล้ว พิจารณาเสร็จไม่ทันจะติดเงื่อนไข 90 วัน ตามกฎหมายประชามติ จึงจำเป็นต้องเร่งทำให้เสร็จภายในเดือนพฤศจิกายนี้ จะสามารถทำได้หรือไม่ ว่า หลังจากการพิจารณาในวาระที่ 1 ในวันที่ 14-15 ตุลาคม จะมีการตั้ง กมธ. และจากที่ได้ฟังสว. ได้ระบุว่าไม่ติดใจในหลักการของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉะนั้น หมายความว่าทุกฝ่ายเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าจะเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เนื้อหาสาระทั้ง 3 ร่าง ยังแตกต่างกันอยู่ ตนคิดว่าปลายทางทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าต้องแก้ไข เพียงแต่ต้องยึดเอาคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเป็นที่ตั้ง
นายภราดรกล่าวต่อว่าสิ่งใดที่ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลฯ ทางกมธ.ต้องพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน หากเห็นว่าขัดต่อคำวินิจฉัย ก็ต้องไปหารือว่าขัดหรือไม่ หากคณะเห็นว่าขัดต่อคำวินิจฉัย ก็ไม่ควรเดินไปในเส้นทางนั้น เพราะจะนำไปสู่ความไม่สำเร็จในการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งตนเชื่อว่าหากทุกฝ่ายเห็นตรงกันคงใช้เวลาในชั้นกมธ. ไม่นานนัก และคงพิจารณาแล้วเสร็จก่อนจะเปิดสมัยประชุมหน้า ในช่วงเดือนธันวาคม ซึ่งการพิจารณาในวาระที่ 2 และวาระที่ 3 จะพิจารณาในสมัยประชุมหน้า
เมื่อถามว่า ครม.ได้มองเรื่องไทม์ไลน์ในการทำประชามติพร้อมการเลือกตั้ง คิดว่าจะมีปัญหาอะไรหรือไม่ นายภราดร กล่าวว่า กฎหมายประชามติขณะนี้ ยังอยู่ในขั้นตอนของการรอโปรดเกล้าฯ และตัวร่างที่ทูลเกล้าฯ ขึ้นไป ก็น่าจะอยู่ไทม์ไลน์ประมาณ 60-120 วัน ซึ่งไทม์ไลน์ที่ได้กางดู ตนคิดว่ายังพอเป็นไปได้อยู่ แต่อย่างไรก็ตามต้องใช้กมธ. มาพูดคุย เช่นเดียวกัน ไทม์ไลน์ทำประชามติ ก็ต้องพูดคุยในชั้น กมธ. เพื่อหารือกันทุกฝ่าย
ทั้งนี้ การพิจารณาในวันที่ 14 ตุลาคมนี้ จะเริ่มตั้งแต่เวลา 09.00 น.ถึง 23.30 น. ส่วนวันที่ 15 ตุลาคม คาดว่าจะสามารถเริ่มลงมติได้ในเวลา 14.00 น.