ครม.ไฟเขียวมาตรการ “คนละครึ่งพลัส” เปิดลงทะเบียนผ่านเป๋าตัง 20-26 ต.ค. ใช้สิทธิ 29 ต.ค.- 31 ธ.ค. หวังกระตุ้นศก.ได้ 0.3-0.4 ของ GDP ฟื้น ศก.ไทยให้พ้นติดหล่มไตรมาส 4 บอกร้านค้าอย่ากังวลภาษีย้อนหลัง ไม่เอารายได้นี้เข้าระบบแน่นอน
วันนี้ (7 ต.ค.) ภายหลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นผู้บริโภคในโครงการคนละครึ่งพลัส นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วย นายวรภัค ธันยาวงษ์ รมช.คลัง นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงข่าวโดยระบุว่า “คนละครึ่งพลัส” เป็นไปตามที่ได้แถลงนโยบายต่อสภา เพื่อต้องการแก้ปัญหาเร่งด่วนของประเทศ สู้กับภัยเศรษฐกิจ และให้ประชาชนได้จับจ่ายใช้สอย โดยในไตรมาส 4 มีแนวโน้มเศรษฐกิจจะติดหล่ม และจะชะลอตัวลง โครงการดังกล่าวจึงเป็นโครงการเรือธงที่เสริมบัตรสวัสดิการเติมเงินไปเมื่อมติ ครม.สัปดาห์ที่แล้ว
นายเอกนิติ ยังกล่าวว่า โครงการดังกล่าว ถือว่า กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว คือ การช่วยประชาชน 20 ล้านสิทธิ ในการลดรายจ่ายโดยรัฐจะสมทบคนละครึ่ง และช่วยร้านค้ารายย่อยต่างๆ มีสิทธิเพิ่มรายได้ จากยอดใช้จ่ายของประชาชนผ่านโครงการดังกล่าว และกระตุ้นเศรษฐกิจได้ผลยาว ประกอบด้วย 5 พลัส ดังนี้
พลัสที่ 1 : เพิ่มช่วงอายุ ขยายช่วงอายุตั้งแต่ 16 ปี สามารถเข้าร่วมโครงการได้
พลัสที่ 2 : เพิ่มวงเงินใช้จ่าย รัฐเติมเพิ่มจาก 150 บาท/วัน เป็น 200 บาท/วัน
พลัสที่ 3 : เพิ่มสิทธิพิเศษ เพิ่มสิทธิ สร้างแรงจูงใจ ผู้ที่อยู่ในระบบภาษีได้ 2,400 บาท
พลัสที่ 4 : เพิ่มโอกาส ให้โอกาสคนตัวเล็ก ร้านค้า Micro SME เข้าร่วมโครงการได้
พลัสที่ 5: เพิ่มทักษะ ส่งเสริมให้ร้านค้าพัฒนาทักษะ Upskill/Reskill ในระยะต่อไป
ทั้งหมดเป็นไปตามแนวคิด Quick Big Win ฉะนั้น วันนี้จึงจะใช้แอปฯ “เป๋าตัง” และ “ถุงเงิน” ที่ประชาชนคุ้นเคยอยู่แล้วมาใช้ในโครงการ ซึ่งจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ทันที โดยแหล่งเงินของโครงการใช้งบประมาณเดิมจากที่รัฐบาลได้อนุมัติในปี 69 วงเงิน 25,000 ล้านบาท และงบกลาง 19,000 ล้านบาท รวม 44,000 ล้านบาท ครึ่งหนึ่งจากส่วนของรัฐ และอีกครึ่งหนึ่งมาจากประชาชน 44,000 ล้านบาท และรวมเงินที่เติมบัตรสวัสดิการ 23,000 ล้านบาท รวมประมาณ 100,000 ล้านบาท เชื่อว่า จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ร้อยละ 0.3-0.4 ของ GDP
ทั้งนี้ ในวันที่ 15 ตุลาคม-19 ธันวาคม 68 จะเปิดให้ร้านค้าใหม่ ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ส่วนร้านค้าเดิมที่เคยอยู่ในโครงการคนละครึ่งเฟส 5 (ปี 2565) ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ โดยให้อัปเดตแอปฯ เป๋าตัง ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด เพียงกดเมนู “คนละครึ่งพลัส” แล้วกด “ยอมรับข้อตกลงและเงื่อนไข” ในแอปฯถุงเงิน ก็จะสามารถเริ่มใช้จ่ายในวันที่ 29 ตุลาคม 68
และวันที่ 20-26 ต.ค. 68 จะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ และจะเริ่มใช้โครงการใน วันที่ 29 ต.ค.- 31 ธ.ค. 68 โดยผู้ใช้สิทธิจะต้องใช้สิทธิครั้งแรกภายในวันที่ 11 พ.ย. เวลา 23.00 น. เพื่อไม่ให้โดนตัดสิทธิตามเงื่อนไขของโครงการ โดยเชื่อว่าจะช่วยฟื้นเศรษฐกิจไทยจากการติดหล่มในช่วงไตรมาสที่ 4 ได้
ส่วนที่ร้านค้ามีความกังวลเรื่องการจัดเก็บภาษีย้อนหลัง นายเอกนิติ ยืนยันว่า จะไม่มีการนำรายได้จากโครงการนี้ เข้าสู่ระบบภาษีแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ในโครงการคนละครึ่งพลัส สามารถใช้จ่ายผ่านแพลตฟอร์มผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ได้ตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย.- 31 ธ.ค. 68 สำหรับประชาชนให้ใช้สิทธิ์ผ่านแอปฯ เป๋าตังเท่านั้น โดยสั่งอาหารได้ตั้งแต่เวลา 06.00-21.00 น. ของทุกวัน และสามารถซื้ออาหาร เครื่องดื่ม สินค้า และบริการที่กำหนดจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ
ขณะที่ผู้ประกอบการนั้นร้านค้าในโครงการคนละครึ่งพลัส ต้องกดสมัครฟู้ดเดลิเวอรี่ผ่านแอปฯ ถุงเงินให้สำเร็จก่อน จากให้เลือกผูกแพลตฟอร์ม Food Delivery ผ่านแอปฯ ถุงเงิน ได้ตั้งแต่วันที่ 3 พ.ย. 68 เวลา 06.00-23.00 น. เฉพาะร้านค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่มเท่านั้น
สำหรับช่องทางการลงทะเบียน : ลงทะเบียนรับสิทธิผ่านแอปฯ เป๋าตัง ซึ่งประชาชนต้องอย่าลืมสมัครและเปิดใช้งาน G Wallet ก่อนใช้สิทธิ
คุณสมบัติ
1) เป็นผู้มีสัญชาติไทย
2) มีอายุตั้งแต่ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน
3) มีบัตรประจำตัวประชาชน
4) ไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตามฐานข้อมูลของกระทรวงการคลัง ณ วันที่ 1 ต.ค. 68
5) ไม่เป็นผู้ที่ถูก สศค. ระงับสิทธิหรือถูกเรียกเงินคืนในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 1-5