วันนี้(7 ต.ค.)น.ส.ภิญญาพัชญ์ ศันสนียชีวิน สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ขอหารือในที่ประชุมวุฒิสภา เรื่องสถานการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัดทั่วประเทศ ว่า ตลอดเดือน ก.ย. ถึงต้นเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากพายุ ทำให้เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ส่งผลให้เกิดน้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมในกว่า 17 จังหวัด โดยเฉพาะจังหวัด เพชรบูรณ์ อุตรดิตถ์ เชียงใหม่ และพระนครศรีอยุธยา ที่ได้รับผลกระทบรุนแรง ทั้งน้ำท่วมบ้านเรือน เส้นทางคมนาคมถูกตัดขาด พื้นที่เกษตรเสียหายจำนวนมาก ขณะที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลก็ประสบภาวะน้ำท่วมขังซ้ำซากในหลายจุด สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้ประเทศไทยจะเผชิญภัยน้ำท่วมเป็นประจำทุกปี แต่เรายังขาดระบบบริหารจัดการน้ำที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพเพียงพอ สิ่งที่น่ากังวลคือ การรับมือของเรายังเป็นแบบตั้งรับมากกว่าเชิงรุก เรามักรอให้น้ำท่วมแล้วค่อยเร่งระบายน้ำ แจกถุงยังชีพ และซ่อมแซมหลังเหตุการณ์ ทั้งที่หากมีการบริหารจัดการเชิงระบบ และเตรียมการล่วงหน้าอย่างจริงจัง ความเสียหายเหล่านี้สามารถลดลงได้มาก
น.ส.ภิญญาพัชญ์ กล่าวต่อว่า ตนขออนุญาตเสนอ 3 ด้าน ที่ควรเร่งดำเนินการโดยไม่ชักช้า 1.การเตือนภัยและระบบข้อมูล ปัจจุบันประเทศไทย มีระบบพยากรณ์อากาศและประกาศเตือนภัยจากหลายหน่วยงาน แต่ข้อมูลยัง ไม่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นเอกภาพ ระหว่างส่วนกลางกับท้องถิ่น ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงหลายแห่ง ยังไม่ได้รับการแจ้งเตือนทันเวลา บางหมู่บ้านรู้ตัวอีกทีเมื่อน้ำไหลเข้าบ้านแล้ว ตนเห็นว่าควรเร่งพัฒนา ระบบสื่อสารและเตือนภัยแบบเรียลไทม์ ที่เข้าถึงระดับหมู่บ้าน โดยใช้เทคโนโลยีและช่องทางการสื่อสารที่เหมาะสม เช่น ข้อความโทรศัพท์หรือระบบเสียงตามสาย เพื่อให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือได้ทันท่วงที
ด้านที่สอง โครงสร้างพื้นฐานและผังเมือง ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากในหลายพื้นที่เกิดจาก โครงสร้างระบายน้ำที่ไม่มีประสิทธิภาพ และ การใช้พื้นที่ที่ขัดกับธรรมชาติของทางน้ำ เขตเมืองจำนวนมาก มีการก่อสร้างปิดกั้นทางน้ำหรือขาดระบบรองรับน้ำยามฉุกเฉิน จึงขอเสนอให้มี แผนแม่บทการจัดการน้ำระดับจังหวัด ที่มีการปรับปรุงเป็นประจำและมีผลผูกพันต่อทุกหน่วยงาน เพื่อให้การป้องกันและแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่เปลี่ยนแปลงตามผู้บริหารแต่ละยุค นอกจากนี้ ควรจัดสรรงบประมาณให้ท้องถิ่น ดูแลการขุดลอกคูคลองและระบบระบายน้ำได้ตลอดทั้งปี ไม่ใช่เฉพาะช่วงเกิดปัญหาเท่านั้น
ด้านสุดท้าย งบประมาณและการบูรณาการนโยบาย ปัจจุบันงบประมาณด้านน้ำ และภัยพิบัติกระจายอยู่ในหลายหน่วยงาน ทำให้การบริหารล่าช้าและซ้ำซ้อน ดิฉันขอเสนอให้พิจารณา จัดตั้งศูนย์บัญชาการน้ำแห่งชาติแบบเฉพาะกิจ เพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์สถานการณ์ และสั่งการเชื่อมโยงทุกหน่วยงานในช่วงวิกฤต โดยมีระบบข้อมูลเดียวกันและการตัดสินใจที่เป็นเอกภาพ
น.ส.ภิญญาพัชญ์ ระบุว่า ตนขอให้จัดตั้งคณะกรรมาธิการหรือคณะทำงานเฉพาะกิจติดตามปัญหาน้ำท่วม เพื่อใช้กลไกของสภาในการติดตามผลการดำเนินงาน วิเคราะห์นโยบาย และบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เฉพาะในช่วงเกิดภัยพิบัติเท่านั้น น้ำอาจไหลผ่านไป แต่ความเดือดร้อนของประชาชน ต้องไม่ถูกปล่อยให้ไหลตามน้ำ