ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ “ปารีณา” ดับแสงดาว! ศาลสั่งจำคุก คดีรุกป่า 4 ปี 1 เดือน งานนี้มีเครียด!
ถ้าพูดถึงข่าวที่ทำให้แวดวงการเมืองและโซเชียลมีเดีย มีเรื่องให้เมาต์มอย ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของ “เอ๋-ปารีณา ไกรคุปต์” อดีต สส.ราชบุรี คนดังที่เคยเป็นดาวเด่น ดาววีน ดาวโซเชียลตัวแม่! ที่ล่าสุด...ศาลมีคำสั่งคดีรุกป่าออกมาแล้ว
เรื่องของเรื่อง คือ ที่ศาลจังหวัดราชบุรี เมื่อวานนี้ (6ต.ค.) ศาลได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่อัยการยื่นฟ้อง “ปารีณา ไกรคุปต์” และบริษัท ในข้อหาความผิดฐานบุกรุกครอบครองที่ป่าสงวนฯ และที่ดินของรัฐ
งานนี้ไม่ได้บุกรุกเล็กๆ น้อยๆ รวมๆ กันแล้วคือ 681 ไร่ 1 งาน 37 ตารางวา! โดยใช้ประโยชน์สร้างโรงเรือนเลี้ยงไก่ บ้านพัก ขุดบ่อบาดาล เป็นเนื้อที่เกิน 25 ไร่ เป็นเหตุให้พื้นที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติได้รับความเสียหาย โดยจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำเป็นเนื้อที่เกินกว่า 50 ไร่ และไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือได้รับการยกเว้นใดๆ คิดเป็นเงินค่าเสียหายของรัฐรวม 35 ล้าน
แม้ว่า “ปารีณา” จะให้การรับสารภาพ ในข้อหาจิ๊บๆ อย่าง “ประกอบกิจการน้ำบาดาลโดยไม่ได้รับอนุญาต” แต่ข้อหาอื่นๆ ที่เป็นสาระสำคัญอย่างการ ยึดถือครอบครองป่านั้น เธอให้การปฏิเสธตลอดมา !
แต่ศาลก็พิจารณาอย่างละเอียด ถี่ถ้วน เห็นว่า แม้ที่ดินจะไม่ได้เป็นป่าแบบสภาพดั้งเดิม และ “ปารีณา” อาจจะไม่ทราบว่าที่ตรงนั้นเป็นป่า เพราะใช้หลักฐาน ภ.บ.ท. 5 ที่ไม่ใช่เอกสารสิทธิ์ แต่ในฐานะอดีตสส. และนักการเมือง ก็ต้องทราบดีอยู่แล้วว่า ที่ดินดังกล่าวยังไม่มีใครมีสิทธิครอบครองตามกฎหมายที่ดิน !
ฉะนั้นมันจึงยังเป็น “ป่า” ตามนิยามของกฎหมาย!
และแล้วก็ถึงเวลาตัดสิน!
ศาลสั่งลงโทษจำคุก "ปารีณา ไกรคุปต์" อดีต สส.คนดัง เป็นเวลา 4 ปี 1 เดือน และปรับอีก 60,000 บาท รวมโทษทุกกระทงที่ลดแล้วกึ่งหนึ่ง แถมยังสั่งให้บริษัท และ ปารีณา รวมถึงบริวาร ออกจากพื้นที่ป่าและที่ดินของรัฐทั้งหมด พร้อมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง และอุดบ่อบาดาลให้เรียบร้อย!
ต่อมา “ปารีณา” ยื่นหลักทรัพย์เป็น เงินสด 1 ล้านบาท ขอประกันตัวทันที และศาลก็อนุญาตให้ประกันตัวออกมาสู้คดีต่อไป ได้โดยไม่กำหนดเงื่อนไข !
งานนี้บอกเลยว่า “ดาวดับ” ก็ไม่ปาน จากอดีต สส.เสียงดัง กลายเป็นผู้ต้องโทษคดี ถึงแม้จะออกมาเดินดินได้ชั่วคราวด้วยหลักทรัพย์เป็นล้าน แต่คุกที่มองเห็นอยู่รำไร และเส้นทางการเมืองที่จบลงไปแล้ว เพราะคดีก่อนหน้านี้เป็นคดี “จริยธรรม”คงทำเอาเจ้าตัวเครียดหนัก!
งานนี้ “ปารีณา” จะวางแผนต่อไปอย่างไร ? จะสู้คดีจนถึงที่สุดอย่างไร ? หรือจะยอมรับชะตากรรม 4 ปี 1 เดือน น่าสนใจติดตามเป็นอย่างยิ่ง
++ ศิษย์เก่า ปชป. ทยอยกลับรัง ร่วมเป็นองค์ประชุมใหญ่ ดัน “อภิสิทธิ์” เป็นหัวหน้าพรรค
ตามกระแสข่าว คอนเฟิร์มแล้วว่า การประชุมใหญ่เพื่อเลือกกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ชุดใหม่ ในวันที่ 18 ต.ค.นี้ ที่โรงแรม มิราเคิล แกรนด์ หลักสี่ จะมีผู้เสนอชื่อ“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคอีกครั้งหนึ่ง เพื่อ“ฟื้นฟู” กู้วิกฤตความตกต่ำ และนำพรรคประชาธิปัตย์เดินหน้าต่อไปด้วยความเข้มแข็ง
หาก “อภิสิทธิ์” ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรค เขาก็จะเป็นคนเลือกกรรมการบริหารพรรคในตำแหน่งสำคัญ อย่าง รองหัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรค ด้วยตัวเอง
กติกาการเลือกหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารชุดใหม่ ของพรรคประชาธิปัตย์นั้น ต่างจากพรรคการเมืองอื่น สมาชิกที่มีสถานะต่างกัน จะมี “น้ำหนัก” ในการโหวตต่างกัน คือ จะให้ค่าน้ำหนักคะแนน 40:20:40 สรุปให้เข้าใจง่าย คือ สส.ต่อ 1 คน มีค่าต่อน้ำหนักคะแนน ประมาณ 1.6 คน กรรมการบริหารพรรคที่ไม่ได้เป็น สส. จะได้ค่าน้ำหนักต่อ 1 คน เท่ากับ 0.8 คน และองค์ประกอบอื่น เช่น อดีต สส. อดีตรัฐมนตรี จะได้ค่าน้ำหนัก ประมาณ 0.2 ต่อคน
ความสำคัญจึงอยู่ที่ สส. กับกรรมการบริหารพรรค
ที่ผ่านมาทางพรรคได้ประกาศว่า ผู้ที่มีความประสงค์จะเข้าร่วมเป็นองค์ประชุมใหญ่ ตามข้อบังคับพรรคประชาธิปัตย์ พ.ศ.2567 ข้อที่ 78 ให้มาดำเนินการสมัครสมาชิก เพื่อยืนยันสถานะการเป็นองค์ประชุม ภายในวันที่ 3 ต.ค.68 ก่อนเวลาเที่ยงคืน หากพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว แม้จะเป็นสมาชิกพรรคแล้วจะถือว่าไม่มีสถานะเป็นองค์ประชุมของการประชุมใหญ่วิสามัญ ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 18 ต.ค.นี้
เราจึงได้เห็นปรากฏการณ์ “ศิษย์เก่าปปชป.” ทั้งในกรุง และต่างจังหวัด อดีตรัฐมนตรี อดีต สส. ที่ลาออกไปแล้ว หวนคืนกลับมาสมัครเป็นสมาชิกพรรค เพื่อเข้าร่วมเป็นองค์ประชุมกันอย่างคึกคัก
กลับมาเพื่อแสดงเจตนารมณ์หนุน “อภิสิทธิ์” เป็นหัวหน้าพรรค และเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ในการเลือกตั้งครั้งหน้า
อาทิ “อรอนงค์ กาญจนชูศักดิ์” อดีต สส.กทม. 3 สมัย , “สกลธี ภัททิยกุล” อดีตรองผู้ว่าฯ กทม., “อรอนงค์ คล้ายนก” และ “อานิก อัมระนันทน์” อดีต สส.บัญชีรายชื่อ 2 สมัย ซึ่งเป็นการยืนยันสถานะสมาชิกภาพเพื่อรักษาสิทธิ์ในการเข้าร่วมองค์ประชุม
ขณะที่ อดีต สส. จากส่วนภูมิภาค ก็มี “บัญญัติ เจตนจันทร์” อดีต สส.ระยอง 3 สมัย “นิพนธ์ ธาราภูมิ” อดีต สส.ลพบุรี รวมทั้ง “ทศพร และอัญชลี วาณิช เทพบุตร” อดีต สส.ภูเก็ต ก็กลับมาสมัครเป็นสมาชิกเช่นกัน
ไม่เว้นแม้แต่ “คุณหญิงแอ๋ว” สุพัตรา มาศดิตถ์ อดีต รมว.ประจำสำนักนายกฯ “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” อดีต รมว. วัฒนธรรม “สาธิต ปิตุเตชะ” อดีต รมช.สาธารณสุข , “กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ” รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ เป็นต้น
“สกลธี ภัททิยกุล” โพสเฟซบุ๊ก ระบุว่า นับแต่วันที่ได้ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ จนถึงวันนี้ ก็เกือบ 10 ปีพอดี…เป็นการออกไปหาประสบการณ์ใหม่ๆ ซึ่งทำให้เติบโตขึ้นมากในทางการเมือง มีประสบการณ์เพิ่มขึ้น และแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
บัดนี้ คิดว่าถึงเวลาแล้ว…ที่จะกลับไปช่วยฟื้นฟูพรรค ผมทราบดีว่าการจะไปสู่จุดเดิมของพรรค ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ผมมีความตั้งใจที่จะรวบรวมกลุ่มคนทุกรุ่น ที่มีความปรารถนาดีกับประเทศ และอยากเห็นประเทศเดินไปในทิศทางที่ดีขึ้น ช่วยกันขับเคลื่อนพรรคประชาธิปัตย์ให้เป็นสถาบันการเมืองที่เข้มแข็งอยู่คู่ประเทศไทยต่อไป
ถ้าวันที่ 18 ต.ค.นี้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ได้เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เราก็มีโอกาสได้เห็น “พรรคสีฟ้า” ในยุคของการฟื้นฟู อุดมการณ์ “ขจัดทุจริต คอร์รัปชัน...ต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ”
ซึ่งระยะหลังอุดมการณ์ที่ว่านี้ ถูกละเลย จนกระแสความนิยมเสื่อมถอย สะท้อนออกมาให้เห็นจากผลการเลือกตั้ง 2566 ที่ประชาธิปัตย์ ได้สส.มาแค่ 25 เสียง จน “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” ต้องลาออกจากหัวหน้าพรรค
จึงมาถึงยุค “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” เป็นหัวหน้าพรรค คู่กับ “เดชอิศม์ ขาวทอง” เลขาธิการพรรค ที่พาประชาธิปัตย์ เข้าร่วมรัฐบาล กับพรรคเพื่อไทย คู่แค้นทางการเมืองตลอด 20 ปี หนุน “แพทองธาร ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี
และเมื่อ “อนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นนายกรัฐมนตรี “พรรคเพื่อไทย- ประชาธิปัตย์” ต้องกลับไปเป็นฝ่ายค้าน “เฉลิมชัย” จึงลาออกจากหัวหน้าพรรค
ว่ากันว่า การกลับมาของ “อภิสิทธิ์” เพื่อนำทัพในการเลือกตั้งครั้งนี้ อาจจะทำให้สนามเลือกตั้งใน กทม. พ้นจากสภาพ “สูญพันธุ์” และคะแนน “เลือกพรรค” อาจจะดีขึ้น แต่จะหวังเป็นกอบเป็นกำ คงไม่ถึงขนาดนั้น
ส่วนพื้นที่ภาคใต้ ที่ผ่านมาก็ถูกทั้งพรรคภูมิใจไทย และ พรรคกล้าธรรม รุกเข้าพื้นที่ รวมทั้ง พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่แยกตัวออกไปจากประชาธิปัตย์ ก็ยึดพื้นที่ไปส่วนหนึ่ง
ในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ โอกาสที่ค่ายสีฟ้าจะได้ สส.เขตนั้น หวังได้ แต่ก็ต้องสู้กับคู่แข่ง ที่ดูดบรรดาบ้านใหญ่ไปเข้าสังกัด แถมยังถืออำนาจรัฐ และมีเสบียง มีกองส่งกำลังบำรุงแน่นหนัก คงได้แต่หวังในคะแนนเสียงปาร์ตีลิสต์
สำหรับภาคีสาน และภาคเหนือ ยิ่งเป็นเรื่องยาก เพราะทั้งพรรคเพื่อไทย กับภูมิใจไทย ห้ำหั่นกันหนัก และยังมีพรรคประชาชน คอยเก็บคะแนนคนรุ่นใหม่
โอกาสที่ “อภิสิทธิ์” กลับมานำพรรคลงสนามเลือกตั้งครั้งนี้ บรรดา “แม่ยก” คงต้องทำใจไว้แต่เนินๆ เพราะบทสรุปแล้วประชาธิปัตย์ คงหนีไม่พ้นต้องเป็นฝ่ายค้าน มากกว่าเป็นรัฐบาล