xs
xsm
sm
md
lg

นายกฯ ถก คอภ.นัดแรก เน้นเยียวยาเร็วที่สุดเร่งรวบรวมผู้ได้รับผลกระทบ บูรณาการและมีประสิทธิภาพ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายกฯ “อนุทิน” ประชุม คอภ. นัดแรก เน้นการเยียวยารวดเร็วที่สุด พร้อมเร่งรวบรวมช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้ได้โดยเร็ว บูรณาการและมีประสิทธิภาพ


วันนี้ (6 ต.ค. 68) เวลา 14.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (คอภ.) ครั้งที่ 1/2568 โดยมี นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีว่ากระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมด้วย

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วันนี้เป็นการประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (คอภ.) ครั้งที่ 1 ของรัฐบาล ปัจจุบันนี้ได้เกิดสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่มในหลายพื้นที่ หลายจังหวัด ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นจำนวนมากแก่ทรัพย์สินและชีวิตของพี่น้องประชาชน ประกอบกับในช่วงสัปดาห์นี้ ประเทศไทยยังได้รับอิทธิพลจากพายุแมตโม นับตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมเป็นต้นไปจะเป็นห้วงฤดูมรสุมในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งอาจจะมีฝนตกหนัก และฝนตกสะสม ก่อให้เกิดสภาวะน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่งได้ในหลายพื้นที่ รัฐบาลมีความห่วงใยต่อสถานการณ์อุทกภัยและดินถล่มที่เกิดขึ้น ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้กระจายกันลงพื้นที่ในจังหวัดต่างๆ เพื่อติดตามสถานการณ์การ ให้ความช่วยเหลือ และให้กำลังใจแก่ผู้ประสบภัย พร้อมทั้งได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้ความช่วยเหลือและเยียวยาประชาชนผู้ประสบภัย การประชุมในวันนี้เพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัย การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย การประเมินแนวโน้มสถานการณ์ และการหารือแนวทางการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงการร่วมพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาให้ผู้ประสบภัยให้ดำเนินไปอย่างเป็นระบบ บูรณาการกับทุกภาคส่วนอย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ ในส่วนของแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ที่ประชุมมีมติหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 เช่นเดียวกันกับปี 2567 ให้ความช่วยเหลือครัวเรือนละ 9,000 บาท ดังนี้

(1) กรณีที่อยู่อาศัยประจำอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม ดินถล่ม น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง
ไม่เกิน 7 วัน และทรัพย์สินได้รับความเสียหาย
(2) กรณีที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขัง ติดต่อกันเกินกว่า 7 วัน

ซึ่งการช่วยเหลือเยียวยาระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม – 6 ตุลาคม 2568 มีทั้งสิ้น 685,554 ครัวเรือน ครัวเรือนละ 9,000 เป็นเงิน 6,169.986 ล้านบาท

โดยในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังได้มีข้อสั่งการ ดังนี้

เนื่องจาก ปัจจุบันมีปริมาณน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างมาก และยังคงมีน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ที่สำคัญ ช่วงวันที่ 9-13 ตุลาคม 2568 จะมีน้ำทะเลหนุน และอาจมีฝนตกในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ส่งผลต่อการระบายน้ำในช่วงดังกล่าว จึงมีความจำเป็นในการบริหารจัดการน้ำ ดังนี้

1. ให้ กรมชลประทาน คงการระบายน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยาไว้ที่ไม่เกิน 2,500 ลูกบาศก์เมตร/วินาที

2. ลดการระบายน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์และเขื่อนพระรามหก ลง 100 ลบ.ม/วินาที

3. ให้ กรมชลประทาน เพิ่มการระบายน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก ผ่านคลองชัยนาท - ป่าสัก
- เพิ่มการระบายน้ำที่ประตูระบายน้ำมโนรมย์ ให้เต็มศักยภาพที่ 210 ลูกบาศก์เมตร/วินาที
- ให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนการใช้เครื่องผลักดันน้ำเพิ่มการระบายน้ำ ประตูระบายน้ำ –
ทางระบายน้ำ พระนารายณ์ผ่านคลอง 8-16 ผ่านคลองพระองค์เจ้าไชยานุชิต และคลองลาดกระบัง
โดยกำหนดจุดติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำเสริมในบริเวณคอคอด
- ให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมพร้อมทุกสถานีสูบส่วนบริเวณปากคลอง และให้เร่งสูบออกอ่าวไทยให้เหมาะสมกับจังหวะน้ำทะเลลง

4. ระบายน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก ผ่านแม่น้ำท่าจีน แบ่งเป็น
- ให้ กรมชลประทาน เพิ่มการระบายน้ำผ่านคลองฝั่งตะวันออกแม่น้ำท่าจีน และใช้คลองย่อยเดิมรับน้ำ
จากทุ่งด้านบนระบายน้ำลงคลองภาษีเจริญเพื่อทำหน้าที่เป็นคลองลัดเสริมการระบายน้ำ
- ให้ กรมชลประทาน เพิ่มการระบายน้ำผ่านคลองย่อยของแม่น้ำท่าจีนฝั่งตะวันตก เสริมการระบายน้ำลง
อ่าวไทย
- ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนการใช้เครื่องผลักดันน้ำเพิ่มการระบายน้ำ โดยกำหนดจุดติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำเสริมในบริเวณคอคอด

5. ให้ สำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร เพิ่มการระบายน้ำผ่านกรุงเทพมหานคร บางส่วนอย่างเหมาะสมเพื่อช่วยลดปริมาณน้ำท่วมสะสมในทุ่งเจ้าพระยา และ ต้องไม่ส่งผลกระทบกับกรุงเทพมหานคร

6. เพิ่มการรับน้ำเข้าทุ่งฝั่งซ้าย คลองชัยนาท-ป่าสัก (รับน้ำได้อีก 70 ล้าน ลบ.ม.) และทุ่งรับน้ำท่าวุ้ง ลพบุรี (รับน้ำได้อีก 22 ล้าน ลบ.ม.) มีศักยภาพการรับน้ำ ได้มากกว่าร้อยละ 80

7. บรรเทาปัญหาน้ำท่วมที่บางบาล ไปยังทุ่งบางกุ้ง พระนครศรีอยุธยา (รับน้ำได้อีก 4.7 ล้าน ลบม.)

“การลงพื้นที่ได้รับความร่วมมือจากประชาชนเป็นอย่างดี ขอให้เน้นการเยียวยาด้วยความรวดเร็วที่สุดในเวลาที่มี ส่วนการบริหารจัดการสถานการณ์ต้องคำนึงถึงสถานการณ์ น้ำขัง น้ำหลาก ทั้งในส่วนของทรัพย์สิน ผลิตผลการเกษตร หรือโรคภัยต่างๆที่มากับน้ำ พร้อมให้เร่งรวบรวมช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยเร็ว” นายกรัฐมนตรี กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น