“โรม” เตรียมหารือรัฐบาล หาแนวทางเพิ่มเงินเยียวยา ผลกระทบเหตุการณ์ชายแดน หลังประชาชนสะท้อน 5,000 บาทไม่พอเมื่อเทียบกับความเสียหาย ชี้ ต้องปรับปรุงระเบียบราชการบางอย่างเพื่อให้เกิดความเหมาะสม คล่องตัวมากขึ้น พร้อมจับตา สถานการณ์ชายแดน ก่อนวันที่ 10 ต.ค. ห่วงบานปลาย มอง “เขมร” ประวิงเวลาการเจรจาขาดความจริงใจใช้กลไกทวิภาคี
วันที่ 6 ต.ค. 2568 นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมรับฟังการบรรยายสรุปและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาผลกระทบด้านความมั่นคงตามแนวชายไทยที่ส่งผลต่อประชาชนในพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา รวมถึงปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการของหน่วยงาน และแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว ตลอดจนแนวทางการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ , ผู้บัญชการกองกำลังสุรนารี , ผู้บัญชาการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยนายรังสิมันต์ ระบุว่า เรื่องของการเยียวยาส่วนใหญ่มีทั้งได้ไปบ้างแล้ว และอยู่ในระกว่างกระบวนการดำเนินกาา รวมถึง ชรบ. แม้ไม่ใช่การเยียวยาแต่ก็เป็นเงินที่อยู่ระหว่างการประสานงานระหว่างอำเภอกับจังหวัด และคงมีเงินมาให้ชรบ.ในไม่ช้า ทั้งเบี้ยเลี้ยงและส่วนต่างๆ
ทั้งนี้ยังมีปัญหาเรื่องของค่าไฟฟ้าบางประเภท เพราะตามแนวนโยบายอาจจะมองว่าครอบคลุมแล้วแต่หน้างานจริงอาจจะยังไม่ครอบคลุม ดังนั้นจึงต้องมีการหารือกัน โดยให้ประชาชนที่ตกหล่นสามารถยื่นคำร้องได้ เช่น กลุ่มที่ประกอบอาขีพขายของชำ ซึ่งที่พักอาศัยและที่ประกอบธุรกิจเป็นที่เดียวกัน นโยบายอาจจะยังไม่ครอบคลุมกลุ่มนี้ จึงต้องให้มีการยื่นคำร้องเพื่อให้การไฟฟ้าพิจารณา ซึ่งภาพรวมการพูดคุยเรื่องการเยียวยาค่อนข้างโอเค แต่จะต้องไปติดตามส่วนของนโยบายในการแก้ไขเยียวยา เช่น ปั๊มน้ำมันที่มีระเบิดลงเพราะการเยียวยายังไม่ครอบคลุม และเรื่องไปค้างอยู่ที่สำนักนายกรัฐมนตรี ดังนั้นต้องไปติดตามกับรัฐบาลว่าจะดำเนินการอย่างไรให้เกิดความเร่งด่วน เพราะกมธ.ก็อยากให้ประชาชนได้รับการเยียวยาอย่างครอบคลุม
ส่วนเรื่องเงินเยียวยา 5,000 บาท อาจจะยังไม่แล้วเสร็จทุกคน แต่มีเสียงเรียกร้องจากประชาชนว่า เงิน5000บาทยังไม่พอเมื่อเทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ตนเองจึงรับเรื่องและไปหารือกับรัฐบาลว่าจะไปดำเนินการเพิ่มเติมอย่างไรได้บ้าง และตนเองมองว่า อยากให้การเยียวยาครอบคลุมและเพียงพอกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะสถานการณ์นี้ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นแต่เมื่อเกิดแล้วต้องรับภาระ ดังนั้นจึงอยากให้การเยียวยาประชาชน ไม่ว่าจะเป็นค่าตกใจ ค่าทำขวัญให้เกิดความครอบคลุม
ส่วนเงินเยียวยา5000บาทจะขยายเพิ่มได้หรือไม่นั้น นายรังสิมันต์ ระบุว่า ต้องแบ่งเป็น2ส่วนคือส่วนที่เป็นนโยบายก็เป็นกรอบวงเงินงบประมาณจากรัฐบาลที่แล้ว และส่วนที่เป็นระเบียบต่างๆ ซึ่งระเบียบราชการที่ใช้ในปัจจุบันไม่ได้ถูกออกแบบมาในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ถูกออกแบบมาในสถานการณ์ปกติ ดังนั้นคงต้องมีการไปปรับปรุงระเบียบบางอย่างเพื่อให้เกิดความเหมาะสม คล่องตัวมากขึ้น
“ไม่ใช่แค่ประชาชนทั่วไป เพราะฝ่ายทหารก็เจอปัญหา อย่างภูมะเขือ ถนนยังไม่แล้วเสร็จยังเป็นดินลูกรับ หากฝนตกก็จะเป็นโคลน ทำให้การเดินทางไม่ง่ายแม้จะเป็นระโฟวิล ดังนั้นเรื่องถนนหนทาง รวมถึงการดำเนินการเรื่องน้ำ ทางอบจ.ศรีสะเกษก็จะไปพิจารณาว่าจะทำอย่างไรในการส่งน้ำไปที่ภูมะเขือได้อย่างครอบคลุมเพียงพอ ในการพัฒนาแหล่งน้ำ”
ส่วนถนนต้องยอมรับว่า เงินงบประมาณไม่ได้ครอบคลุมเพียงพอที่จะสร้างถนนให้ครบถ้วน หากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นการขนส่งจะล่าช้า และหากขับรถสวนกันค่อนข้างลำบาก โดยพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดังนั้นจะต้องมีการพูดคุยกัน เพราะพื้นที่ชายแดนฝั่งกัมพูชา เป็นพื้นที่ความมั่นคงที่พิเศษและอาจจะมีสถานการณ์บางอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นได้
นายรังสิมันต์ ยังบอกถึงการประเมินสถานการณ์ก่อนถึงวันที่ 10 ต.ค. ด้วยว่า ตนเองก็จับตาเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และเป็นห่วงสถานการณ์ว่าจะบานปลายหรือนำไปสู่ความรุนแรงหรือไม่ แต่ตนเองก็คาดหวังว่ากัมพูชาคงได้เห็นว่าสุดท้ายแล้วก็จะต้องกลับเข้าสู่การเจรจา ไม่ว่าจะรบกันอย่างไร ดังนั้นจึงมองว่าการเจรจากันเรื่องเงื่อนไขต่างๆซึ่งเป็นเงื่อนไขที่เข้าใจได้ ทั้งการถอนอาวุธ สแกมเมอร์ กับระเบิด และประชาชนที่มีการรุกล้ำแดน ข้อเสนอต่างๆเหล่านี้ ควรจะได้รับการแก้ไข และมองว่า การโยนไปโยนมาคุยวงนี้ไม่ได้แล้วให้ไปถามวงนั้นของกัมพูชา เป็นการประวิงเวลา ซึ่งฝ่ายกัมพูชาอาจจะถูกมองว่าขาดความจริงใจในการจะใช้กลไกทวิภาคี และในสถานการณ์ที่กัมพูชาไม่มีความจริงใจในเรื่องของการเจรจานั้น ทางฝ่ายไทยก็ต้องพยายามที่จะหาแนวทางต่อไปและเราก็คงไม่อยากให้เกิดการประทะกันทางอาวุธ ซึ่งไทยก็ยังยึดมั่นการเจรจาในทวิภาคีแต่คงจะต้องมีเทคนิควิธีการในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ พร้อมย้ำว่า สิ่งที่สามารถทำให้ทุกอย่างกลับเข้าสู่การนั่งพูดคุยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือการแก้ปัญาเรื่องคอลเซ็นเตอร์ จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญ