“เอกนิติ” แจงสภา “คนละครึ่งพลัส” รัฐเพิ่มวงเงินสมทบ 200 บาทต่อวัน ครอบคลุม 20 ล้านสิทธิ ร้านเล็ก แม่ค้าตลาดได้เต็ม ผู้เสียภาษีได้สิทธิพิเศษยอดรวม 2.4 พันบาท ส่วนบัตรสวัสดิการเพิ่มเป็น 2 พัน เริ่มใช้ 29 ต.ค.- 30 ธ.ค. อบรมทักษะขายออนไลน์ ทำบัญชีเข้าถึงสินเชื่อ พร้อมทางเลือก “สินเชื่ออารีย์สกอร์-หวยออมทรัพย์” หวังช่วยลดหนี้-สร้างเงินออม
วันนี้ (2 ต.ค.) นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงกระทู้ถามสดของนายสังคม แดงโชติ สส.ประจวบคีรีขันธุ์ สส.ภูมิใจไทย เรื่องการดำเนินการของนโยบายคนละครึ่งพลัส ว่า โครงการคนละครึ่งพลัสมีหลักการคล้ายเดิม คือ เอาประชาชนที่มีรายได้รัฐบาลออกให้ครึ่งหนึ่งไปซื้อของ แต่ด้วยความที่ภาวะเศรษฐกิจแย่มาก จึงตัดสินใจให้ 200 บาท (วงเงินใช้ได้ต่อวัน) จากโครงการเดิม 150 บาท คือ รัฐบาลสมทบ 200 บาท ประชาชนใช้ 200 บาท ซึ่งเป็นงบที่มีอยู่แล้ว เป็นงบกลาง 19,000 ล้าน งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 25,000 ล้าน รวมเป็น 44,000 ล้าน ไม่ได้เพิ่มปัญหาภาระทางการคลัง โดยให้สิทธิประชาชน 20 ล้านคน โดยจะได้ประโยชน์ในเรื่องลดค่าครองชีพ ซื้อของ บริการรถสาธารณะ รวมถึงซื้ออาหารในตลาด ในส่วนของร้านค้าก็จะได้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ ซึ่งเราให้เฉพาะร้านขนาดเล็ก แม่ค้าขายหมูปิ้ง พ่อค้าในตลาดขายสมตำ โดยเราจะไม่ให้ร้านใหญ่ที่เป็นของบริษัทขนาดใหญ่ เพราะต้องการให้เงินไปตกอยู่กับประชาชนจริงๆ รวมถึงนิติบุคคลเล็กๆ ก็สามารถร่วมโครงการด้วย โดยเดิมเราให้สิทธิเด็กตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป แต่โครงการนี้ให้ตั้งแต่อายุ 16 ปี ที่ส่วนมากเรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย
นายเอกนิติ กล่าวว่า ในส่วนของพลัสที่เพิ่มเข้ามา คนในระบบภาษีเราจะให้สิทธิ 2,400 บาท เพราะเงินที่นำมาใช้ในโครงการนี้ก็มาจากภาษี ดังนั้น เขาจะได้รู้สึกว่าได้ประโยชน์จากการเสียภาษีด้วย จะทำให้เรตติ้ง เอเจนซี่ (Rating Agency) หรือสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ที่ทำหน้าที่ประเมินและให้คะแนนคุณภาพความเสี่ยงของบริษัทผู้ออกตราสารหนี้ หรือตราสารหนี้ เห็นว่า เราคำนึงถึงวินัยการคลัง และที่สำคัญคือ การกระตุ้นสั้นได้ผลยาว คือ จะมีการเพิ่มทักษะให้พ่อค้าแม่ค้า โดยมีการสอนทักษะการขายออนไลน์ จากที่ขายอยู่ในตลาดก็สามารถขายในออนไลน์ได้เพื่อให้มีรายได้ที่ยั่งยืน และเราจะมีการให้ทำบัญชีแบบง่ายๆ เหมือนบัญชีครัวเรือน จะทราบเลยว่าซื้อวัตถุดิบมาเท่าไหร่ โดยกระทรวงการคลังกำลังติดต่อธนาคารเพื่อให้ปล่อยสินเชื่อได้โดยตรงหากทำบัญชีได้ถูกต้องก็สามารถปล่อยสินเชื่อได้เลย เป็นการแก้ปัญหาหนี้สินในครัวเรือนได้ในระยะยาว
นอกจากนี้ รัฐบาลยังคำนึกถึงประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟนในการลงทะเบียนเข้าโครงการนี้ โดยใช้ระบบบัตรสวัสดิการประชาชน เพราะส่วนใหญ่กลุ่มนี้เป็นคนระดับล่างที่ไม่มีแม้แต่เงินจะกิน จะใช้ประมาณ 13.4 ล้านคน ซึ่งเราจะทำควบคู่โดยการเติมเงินเข้าไปในบัตรสวัสดิการ จากเดิมได้เดือนละ 300 บาท จะเติมเพิ่มเข้าไปอีก 1,700 บาท ให้เป็น 2,000 บาท เริ่มใช้ได้วันที่ 29 ต.ค.- 30 ธ.ค. โดยสามารถใช้ได้ทันที โดยวันที่ 15 ต.ค. จะเปิดให้ร้านค้าลงทะเบียน เรามีร้านเดิมอยู่ในระบบก็จะนำมาใช้ด้วยโดยไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ สำหรับร้านค้าที่เข้าเกณฑ์ คือ ร้านอาหาร เครื่องดื่มทั่วไป ผู้ประกอบการบริหารนวด สปา ทำผม ทำเล็บ ผู้ประกอบการขนส่งสาธารณะรวมถึงแท็กซี่ รถขนส่งที่มีใบขับขี่สาธารณะ
สำหรับประชาชน 20 ล้านสิทธิที่ไม่ได้มีบัตรสวัสดิการ จะได้ลงทะเบียน 20-26 ต.ค. ผ่านระบบเป๋าตังที่มีอยู่แล้ว ใครที่เคยลงอยู่แล้วก็จะง่ายเพราะทำแค่ยืนยันสิทธิ และจะเริ่มใช้ได้ทันทีเช่นเดียวกับบัตรสวัสดิการ
นอกจากนี้ นายเอกนิติ ยังชี้แจงถึงความกังวลของผู้ประกอบการรายเล็กในเรื่องภาษีด้วยว่าไม่ต้องกังวล ว่าจะไปตามเก็บภาษีย้อนหลัง และอยากให้คิดถึงประเทศว่าภาษีเป็นเรื่องสำคัญ และอยากให้เข้าตามระบบได้ถูกต้องเืพ่อให้ประเทศเรามีความยั่งยืนในระยะยาว
ส่วนกรณีประชาชนที่ไม่มีทั้งบัตรสวัสดิการและสมาร์ทโฟนนั้น ทางกระทรวงการคลังมีการทบทวนอยู่เรื่อยๆ โดยมีสวัสดิการอื่นๆ อยู่แล้วสำหรับคนนอกระบบ โดยมีนโยบายเรื่องการออมกับการลดหนี้สินภาคประชาชน เราพยายามใช้งบที่สถาบันการเงินนำส่งกองทุนฟื้นฟูโดยนำเงินส่วนนี้ไปซื้อหนี้ออกมาผ่านบริษัทบริหารสินทรัพย์ จะทำให้ประชาชนที่ถูกตามหนี้ในระบบสามารถบริหารจัดการยืดหนี้ได้มากขึ้น สอนเขาให้เป็นคนดี มีวินัยมากขึ้น คือนโยบาย “สินเชื่ออารีย์สกอร์” โดยไม่ต้องกลัวเรื่องเครดิตบูโร เป็นโครงการที่ทำให้เข้าถึงสินเชื่อเพื่อลดดอกเบี้ย
ส่วนการออมในรูปหวยสลาก ขอยืนยันว่า โครงการนี้ไม่เหมื่อนหวยเกษียณ คือ ซื้อหวยปกติ แต่รัฐจะคืนเงินบางส่วนให้กับผู้ซื้อ ในลักษณะเงินออม โดยเราจะนำไปสะสมเป็นเงินออมระยะยาว จะสามารถถอนได้ตอนอายุ 55 ปี และสามารถนำมาเป็นหลักประกันในการกู้เงินธนาคารได้หากมีความจำเป็นเร่งด่วน