ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ พูดเอาหล่อ...แต่คอตก “ไชยชนก” กับสินบน 40 ล้านต่อเดือน แลกเกียร์ว่าง แก๊งคอลฯ-เว็บพนัน!
"ก่อนพูดเราเป็นนายคำพูด แต่หลังพูดออกไป คำพูดจะเป็นนายเรา" สัจธรรมนี้ ยังคงเป็นบทเรียนให้นักการเมืองหลายคนต้องกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเสมอๆ
ล่าสุด ก็มาถึงคิวของรัฐมนตรีหนุ่มป้ายแดง จากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) อย่าง "ไชยชนก ชิดชอบ" ลูกชาย “เนวิน ชิดชอบ” ที่ดูเหมือนจะพูดเพื่อสร้างภาพลักษณ์ "พระเอก" กลางสภา แต่ตอนนี้คำพูดนั้น กลับกำลังกลายเป็น "เชือก" ที่รัดคอตัวเองและรัฐบาล!
เรื่องเริ่มจากวาทะเด็ดกลางสภาฯ ในวาระแถลงนโยบายรัฐบาล เมื่อรัฐมนตรีดีอี ประกาศแฉเสียงดังฟังชัดว่า "มีการติดต่อมาทางอ้อม เสนอสินบนเดือนละ 40 ล้านบาท" เพื่อแลกกับการ "เกียร์ว่าง" ปล่อยผีแก๊งคอลเซ็นเตอร์, สแกมเมอร์ และเว็บผิดกฎหมาย... ฟังดูแล้วน่าปรบมือให้ในความกล้าหาญ แต่ความจริงคือ... มันจบแค่นั้น !
ประโยคที่ควรจะส่งให้รัฐมนตรีหนุ่มดูหล่อเฟี้ยว กลับกลายเป็นคำถามตัวใหญ่ ที่ย้อนกลับมาทิ่มแทงตัวเอง
ใคร? คนที่เสนอมาคือใคร ? ช่องทาง "ทางอ้อม" ที่ว่านั้นคือใคร ที่ติดต่อมา ?
หลักฐานอยู่ไหน? การเสนอสินบนต่อรัฐมนตรี มหาศาลปีละกว่า 480 ล้านบาท เป็นอาชญากรรมร้ายแรง ทำไมแค่พูดในสภา แต่ไม่ดำเนินการแจ้งความทันที หรือเปิดเผยรายละเอียด?
ด้วยวุฒิภาวะที่อาจจะ "น้อยด้อยประสบการณ์" ตามที่หลายคนวิจารณ์ หรือเพราะต้องการ "พูดเอาหล่อ" จนลืมคิดหน้าคิดหลัง คำว่า "40ล้านบาทต่อเดือน" ตอนนี้จึงกลายเป็นเจ้ากรรมนายเวร ที่ “ทั่นไชยชนก” ต้องรับผิดชอบคำพูดตัวเอง
หากไม่สามารถสาวถึงตัวการ และดำเนินการทางกฎหมายได้จริงๆ งานนี้อาจเข้าข่ายการ "กล่าวอ้างลอยๆ" หรือที่หนักกว่านั้นคือการ "ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่" ตามมาตรา 157 ที่อดีตรัฐมนตรี “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” ได้ออกมาทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้แล้ว
“ประเสริฐ” บอกเลย สมัยที่ตนดำรงตำแหน่ง รมว.ดีอี เป็นระยะเวลาประมาณ 2 ปี ไม่เคยมีใครมาพูดเรื่องนี้กับรัฐมนตรี ซึ่งเรื่องเช่นนี้ ตนไม่ยุ่งเกี่ยวอยู่แล้ว เพราะทำให้เกิดความเสียหาย ยังไงก็รู้สึกแปลกใจ เพราะอยู่ 2 ปี ไม่เคยมีใครโทรมา แต่ “ไชยชนก” ที่เพิ่งมาดำรงตำแหน่ง ยังไม่ได้ทำงาน กลับมีคนมาเสนอผลประโยชน์ให้...เอ๊ะ ถ้าเกิดเรื่องเช่นนี้จริง ทำไม “ไชยชนก” ไม่ดำเนินการเลย โดยหากไม่ดำเนินการอะไรเลย และทราบเรื่องแล้ว “ไชยชนก” ก็เข้าข่ายผิดกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่
เรียกกว่า พฤติการณ์ "พูดเอาหล่อแล้วพลาด" ของไชยชนก จะทำให้ตัวเองตกที่นั่งลำบาก
ต้องไม่ลืมว่า การอ้าง "เบื้องหลัง" หรือ "อิทธิพลมืด" พูดถึง "ขบวนการนอกกฎหมาย" หรือ "ผู้มีอิทธิพล" แบบไม่ระบุตัวตน มักถูกใช้เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตัวเองว่า เป็นผู้ต่อสู้ แต่หากไม่สามารถนำไปสู่การจับกุม หรือเปิดโปงจริงๆได้ ก็จะถูกตีความว่า เป็นการพูดเพื่อ"กลบเกลื่อน"ปัญหา หรือแค่ "สร้างซีน" เท่านั้น
กรณี 40 ล้านบาท แลกเกียร์ว่างนี้จึงคล้ายกับว่า รัฐมนตรีได้ "ชักศึกเข้าบ้าน" และชี้เป้าความสกปรก ไปที่กระทรวงของตัวเอง โดยที่ยังไม่มี "หลักฐานชั้นดี" มาตอกฝาโลง ผู้กระทำผิดเลยแม้แต่น้อย
ปฏิกิริยาของคนในรัฐบาล ก็เป็นไปตามธรรมเนียมการเมืองไทย เมื่อมี "ประเด็นร้อน" เกิดขึ้น การ"พลิ้วเด้งเชือก" ก็มาทันที ทันใด
คนกันเองลูกน้องพ่อเนวินของ ไชยชนก อย่าง "เสี่ยหนู" อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ก็ออกมาแสดงท่าทีคล้ายจะ "ตีมึน" และโยนเผือกร้อนกลับไปให้เจ้าตัวจัดการเอง... สื่อสารชัดเจนว่า เป็นคำพูดของไชยชนก ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล ไม่เกี่ยวกับพรรค!
นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนว่า เมื่อวาทะกรรมเสี่ยงๆ ของสมาชิกในพรรค ก่อให้เกิดความเสียหายต่อภาพรวม พรรคการเมือง ก็พร้อมจะ "ตัดหางปล่อยวัด" ทันที เพื่อรักษาหน้าตาของรัฐบาลไว้ก่อน
แม้ “ไชยชนก”จะออกมาแถลงภายหลังว่า เตรียมให้ปลัดกระทรวงฯ ดำเนินการตรวจสอบ และรวบรวมหลักฐาน มันก็เหมือนการ "แก้เกมที่สายไปแล้ว" และถูกมองว่าเป็นการ "ป้องกันตัวเองจาก ม.157" มากกว่า "จับโจร" ที่เสนอเงิน 40 ล้านต่อเดือน
ดูเหมือนว่า คำพูดไม่คิดหน้าคิดหลังครั้งนี้ จะสอนบทเรียนสำคัญให้กับ "ไชยชนก" รัฐมนตรีหนุ่มไฟแรง ว่าการอยู่ในโลกของ "การเมืองจริง" นั้น ไม่เหมือนกับการเล่นโซเชียลมีเดีย ที่แค่พูดให้ "ยอดไลค์" พุ่งก็จบได้ เพราะทุกคำพูดภายใต้ตำแหน่งรัฐมนตรี มีราคา และมีผลทางกฎหมาย
เหมือนก่อนหน้า ที่ตอนเป็นฝ่ายค้าน “ไชยชนก” พูดเรียกร้องให้รัฐบาลเพื่อไทยยกเลิก MOU 43-44 ไทย-เขมร ทันที แต่ ณ วันนี้ ภูมิใจไทยเป็นรัฐบาล กลับมีท่าทีซื้อเวลา อ้างต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมทำประชามติก่อน
รมว.ดีอี ป้ายแดง ตั้งใจจะ "พูดเอาหล่อ" สร้างภาพนักรบต้านคอร์รัปชัน กลางสภา แต่กลับกลายเป็นว่า ตอนนี้ตัวเองกำลังตกเป็นจำเลย ที่ต้องพิสูจน์คำพูดตัวเองให้ได้ว่า "40 ล้านบาท" ที่ว่านั้น มีจริง และจับตัวได้จริง ไม่ใช่แค่ "วาทกรรมเรียกแสง" ที่สุดท้ายก็จะ "มอดดับ" ไป พร้อมกับความน่าเชื่อถือ
ถ้าไม่รีบเปิดหลักฐานอย่างเป็นทางการ และ ดำเนินการอย่างเด็ดขาดตามกฎหมาย เกรงว่า 40 ล้านบาทนี้ อาจกลายเป็น "คำพูดลอยๆ" ที่จะทำให้รัฐมนตรีไชยชนก กลายเป็น “เด็กเลี้ยงแกะ”
และถ้าเรื่องนี้เงียบหายไป... ก็คงไม่ต่างอะไรกับการ "ตีวัวกระทบคราด" ที่เสียงดัง แต่ไร้ซึ่งความจริงจัง
น่าจับตาเหลือเกินว่า สุดท้ายแล้ว "40 ล้านบาท" นี้ จะจบลงที่การ "ดำเนินคดี" หรือแค่ "ดำเนินชีวิต" ต่อไป โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นของไชยชนก ?
++ ปิดฉาก “พรรคลุง” กลุ่มบ้านใหญ่ แห่แทงหวยภูมิใจไทย
เพราะมีความชัดเจนแล้วว่า “รัฐบาลอนุทิน” จะอยู่เพียงแค่ 4 เดือน โดย“อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี ประกาศชัดในวันแถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภา ว่าจะยุบสภาฯ ไม่เกินสิ้นเดือนมกราคม2569 ตาม MOA ที่ตกลงไว้กับพรรคประชาชน
ขณะเดียวกัน พรรคภูมิใจไทย นอกจากเป็นแกนนำรัฐบาลในการบริหารในช่วงนี้ ก็เตรียมสะสมกำลัง เพื่อการเลือกตั้งครั้งหน้าควบคู่ไปด้วย
จะเรียกว่า “ตกปลาในบ่อเพื่อน” หรือ “ติดเครื่องดูด” หรืออะไรก็แล้วแต่ ขณะนี้ได้เกิดปรากฏการณ์ บ้านใหญ่ไหลซบพรรคภูมิใจไทย กันอย่างเปิดเผยแล้ว
คนของพรรคที่จัดว่าอยู่ในขั้ว “อนุรักษ์นิยม” เหมือนกัน อย่าง พรรคพลังประชารัฐ ของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กับ พรรครวมไทยสร้างชาติ ของ “ลุงพี” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ดีเอ็นเอของ“ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังไหลเข้าพรรคภูมิใจไทย ของ “เสี่ยเน-เสี่ยหนู”
ล่าสุด เมื่อ 30ก.ย.ที่ผ่านมา “สันติ พร้อมพัฒน์” ที่เพิ่งลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค และสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ก็ควงลูกชาย “พัฒนา พร้อมพัฒน์” รมว.สาธารณสุข ป้ายแดง เปิดตัวเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทย มีทั้ง “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรค และ “ไตรศุลี ไตรสรณกุล” นายทะเบียนพรรค ให้การต้อนรับ
เมื่อ“บ้านใหญ่เมืองมะขามหวาน” เพชรบูรณ์ ย้ายออกจากชายคาบ้านป่ารอยต่อ อย่างนี้ บรรดาสส.ในมุ้งอีก 6 คน ก็จะตามมาในอนาคตแน่นอน มี น.ส.พิมพ์พร พรพฤฒิพันธุ์ , นายจักรัตน์ พั้วช่วย , นายบุญชัย กิตติธาราทรัพย์ , นายวรโชติ สุคนธ์ขจร , นางวันเพ็ญ พร้อมพัฒน์ และ นายอัคร ทองใจสด
พรรคลุงป้อม ตอนเลือกตั้งเสร็จ มีสส.เขต 39 คน สส.ปาร์ตี้ลิสต์ 1 คน คือตัว “ลุงป้อม” ที่เป็นหัวหน้าพรรค และเป็นแคนดิเดตนายกฯ รวมเป็น 40 คน
ต่อมา “ผู้กองธรรมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ก็พาลูกทีมย้ายออกจากพรรคไป 20 คน ที่ปัจจุบันเป็น “พรรคกล้าธรรม” ทำให้เหลืออยู่ที่พรรคพลังประชารัฐ 20 คน
เมื่อ“กลุ่มสันติ” ย้ายออกไปอีก 6 คน แถมยังมี น.ส.กาญจนา จังหวะ สส.ชัยภูมิ ที่เตรียมจะย้ายไปพรรคกล้าธรรม และ อีก 2 คน คือ นายอนันต์ ผลอำนวย และนายปริญญา ฤกษ์หร่าย สส.กำแพงเพชร ในกลุ่มขอ
“วราเทพ รัตนากร” ก็จะทิ้งลุงป้อม เหมือนกัน
ทำให้ตอนนี้เหลือ สส.ที่ยังอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ 11 คน รวมทั้งตัว "ลุงป้อม" ประกอบด้วย นายโชติวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ สส.สิงห์บุรี , นางขวัญเรือน เทียนทอง สส.สระแก้ว , น.ส.ตรีนุช เทียนทอง สส.สระแก้ว , นายชัยมงคล ไชยรบ สส.สกลนคร , นายกระแส ตระกูลพรพงศ์ สส.หนองคาย , นายวิริยะ ทองผา สส.มุกดาหาร , นายสุธรรม จริตงาม สส.นครศรีธรรมราช , นายฉกาจ พัฒนกิจวิบูลย์ สส.พังงา , นายทวี สุระบาล สส.ตรัง และ นายคอชีย์ มามุ สส.ปัตตานี
และยังไม่รู้ว่า เมื่อถึงเวลา “ตลาดเปิด” 10 คน ที่ว่านี้ จะยังอยู่กับ“ลุงป้อม” หรือไม่
หันไปดูพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคดีเอ็นเอของ “ลุงตู่” นี่ก็ถือว่าตกอยู่ในสภาพ “พังขั้นสุด” เหมือนกัน เมื่อ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น พาลูกทีม16 สส. ไปโหวตหนุน “นายกฯอนุทิน” จนได้รับการปูนบำเหน็จ เป็นรองนายกฯ ควบ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
“เสี่ยแด๊ก” ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำตัวลุงตู่ ก็ไปด้วย และได้ตำแหน่ง รมว.อุตสาหกรรม
ส่วน “เสี่ยขิง”เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้ลาออกจากสมาชิกพรรค แต่ก็ไปเปิดตัวร่วมโต๊ะอาหารกับ “เสี่ยหนู” อนุทิน มาแล้วเช่นกัน ... ถ้า “เอกนัฏ” ออกไปก็จะมี สส.ในกลุ่ม 8-12 ตามไปด้วย
“เสธ.หิ” หิมาลัย ผิวพรรณ ก็ลาออกจากตำแหน่ง ผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ ไปช่วยงาน “ผู้กองธรรมนัส” ที่พรรคกล้าธรรมแล้ว
พรรครวมไทยสร้างชติ ที่เดิมมี สส. 36 คน แต่สถานการณ์อันใกล้นี้ “ลุงพี” คงต้องเฝ้าพรรคแบบมี สส.อยู่เป็นเพื่อนไม่ถึง 10 คนแน่
แค่นี้ก็พอจะมองเห็นภาพแล้วว่า...เลือกตั้งครั้งหน้าได้เวลารูดม่าน “พรรคลุง”