เมืองไทย 360 องศา
ต้องบอกว่าสำหรับพรรคประชาชนเวลานี้ กำลังโดนกระหน่ำหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากได้เห็นบทบาททางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังจากการทำข้อตกลงกับพรรคภูมิใจไทย และโหวตหนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมองว่าเวลานี้พรรคประชาชนกำลังตีบท “สองหน้า”
นั่นคือ ทางหนึ่งทำขึงขังตรวจสอบรัฐบาล แต่อีกบทบาทหนึ่งกลับต้องทำหน้าที่ประคับประคองให้รัฐบาลอยู่ครบ 4 เดือน โดยหวังพึ่งเสียงสว.ให้หนุนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญได้สำเร็จตามที่มี “ดีลลับ” เอาไว้
จะเรียกว่า “กระอักกระอ่วน” ชอบกลสำหรับพรรคประชาชนเวลานี้ ที่ต้องแสดงบทบาททางการเมืองที่ดูแปลกๆ และถูกวิจารณ์มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในเรื่องสนับสนุนรัฐบาล แต่ไม่เข้าร่วม รวมไปถึงการมุ่งมั่นแก้รัฐธรรมนูญ ในท่ามกลางความรู้สึกของสังคมที่มองว่า “ไม่ใช่ความจำเป็นเร่งด่วน” หรือหากแก้ไข ก็ควรแก้ไขรายมาตราเท่านั้น ไม่ใช่การแก้ไขทั้งฉบับ ซึ่งเป็นความเห็นของประชาชน ผ่านการสำรวจของสำนักโพลบางแห่ง มากกว่าร้อยละ 70 เลยทีเดียว
อย่างไรก็ดี สิ่งที่สามารถจับอาการของพรรคประชาชนในเวลานี้ก็คือ ความพยายามในการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยอ้างว่าฉบับปัจจุบัน เป็นมรดกของเผด็จการ แต่ถึงอย่างไรการที่จะสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เพื่อเปิดทางไปสู่การมี ส.ส.ร. เพื่อมายกร่างฉบับใหม่นั้นได้ ก็ต้องได้รับความเห็นชอบจาก สว.ด้วย อย่างน้อยต้องได้รับเสียงสนับสนุนจาก สว.หนึ่งในสาม หรือ 67 เสียง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไปแบบนี้
ดังนั้น เมื่อพรรคประชาชนต้องการเสียงสนับสนุนจาก สว.ดังกล่าว และด้วยที่รับรู้กันว่า เป็น “ส.ว.สีน้ำเงิน” เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว การจะผ่านด่านแรกให้ได้ก็ต้องได้รับไฟเขียวจากพวกเขา ทำให้มีการวิเคราะห์กันว่า ด้วยเหตุนี้แหละทำให้พรรคประชาชน ต้องประคับประคองรัฐบาลนี้ให้อยู่ครบ 4 เดือน เพื่อให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จเสียก่อน ก่อนที่จะนำไปสู่การทำประชามติ ในวันเลือกตั้ง
ทั้งนี้ หนึ่งในนั้นคือ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โพสต์ข้อความหัวข้อ “หน้าไหว้ หลังหลอก” โดยระบุว่า ดีลที่พรรคส้มไปตกลงกับพรรคน้ำเงิน เพื่อให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ เรียกว่าเป็น “ดีลกับปีศาจ”
พรรคส้มต้องการให้ร่างรัฐธรรมนูญเสร็จตามไทม์ไลน์ ระยะเวลา 4 เดือน จึงต้องทำหน้าที่เป็นค้ำยัน ให้พรรคน้ำเงินอยู่ไปตลอดรอดฝั่ง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พรรคส้มมีหน้าที่เป็น “ฝ่ายค้านที่สนับสนุนรัฐบาล” จนครบเวลา ตามที่ตกลงกันไว้ แล้วหวังเอาว่าจะได้รับเสียงสนับสนุนจาก สว. ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะรู้เหมือนที่ทุกคนรู้ว่า ใครคุม สว. อยู่
ดังนั้น ไม่ว่าพรรคน้ำเงิน นายอนุทิน หรือ ครม. จะทำอะไร ตั้งใจผิดพลาดอย่างไร พรรคส้มมีหน้าที่ “ดันก้น” พรรคน้ำเงินไว้ จนแก้รัฐธรรมนูญเสร็จ
แต่ที่ผมและประชาชนทั่วไปขุ่นเคืองหมองใจพรรคส้ม คือ การเสแสร้งแกล้งทำเป็นคนดี พูดดี ว่าจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านจับจ้องการทำงานของพรรคน้ำเงิน ทั้งที่ความเป็นจริง พรรคส้มกลับต้องดูแลรัฐบาลพรรคน้ำเงินเป็นอย่างดี ไปจนกว่าจะจบภารกิจที่ดีลกันไว้
นอกจากไม่ยอมรับกันตรงๆ กับประชาชนแล้ว ยังไปเล่นการเมือง “ซ่อนแอบ” ต่อหน้าบอกว่าจับจ้อง แต่ลับหลังกลับสนับสนุนเจือสมผลประโยชน์ร่วมกัน
ขณะเดียวกัน ยังซ้ำเติมด้วยเรื่องที่เป็นลบต่อความรู้สึกสำหรับคนที่ติดตามและสนับสนุน “พรรคส้ม” หรือพรรคประชาชน กับการที่กรณี นายจุลพงศ์ อยู่เกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ทำหนังสือถึงนายเนวิน ชิดชอบ และครอบครัวตระกูลชิดชอบ เพื่อขอโทษ และแสดงความรับผิดชอบต่อการอภิปรายเกี่ยวกับที่ดินเขากระโดง ที่ได้อภิปรายในสภาฯ เพื่อลงมติไม่ไว้างโจนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2568 ที่เนื้อหาในการอภิปรายที่พาดพิงถึงครอบครัวตระกูลชิดชอบ เกี่ยวกับที่ดินเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นข้อมูลเท็จ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงว่าใช้อิทธิพลทางการเมือง ขัดขวางหน่วยราชการในการปฏิบัติตามกฎหมายและคำพิพากษาของศาลฎีกา เพื่อยึดถือที่ดินเขากระโดงกว่า 5,000 ไร่ ซึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) อ้างว่าเป็นที่ดินของ รฟท. โดยอ้างว่าข้อมูลที่นำมาอภิปรายนั้น เป็นไปตามสคริปต์ที่ทีมงานจัดหามาให้ โดยที่ตัวเองไร้ประสบการณ์ อ้างเป็น ส.ส.สมัยแรก ความก็คือ
“ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น จึงสำนึกผิดในการกระทำ และยอมรับว่าเนื้อหาการอภิปรายดังกล่าวเป็นข้อมูลเท็จทั้งหมด จึงขอแสดงความสำนึกผิด โดยขอแสดงความเสียใจและขออภัยอย่างสูงต่อนายเนวิน ชิดชอบ ครอบครัวตระกูลชิดชอบ ทุกท่าน และชาวบุรีรัมย์ และเพื่อแสดงความจริงใจในความสำนึกผิดในครั้งนี้ จะขอบริจาคเงิน10,000 บาท เพื่อเป็นการขอโทษแก่ประชาชนชาวบุรีรัมย์ที่ได้รับผลกระทบจากการอภิปรายของผม รวมทั้งเผยแพร่เนื้อหาตามหนังสือที่ขอโทษบนหน้าเพจเฟซบุ๊ก โดยปักหมุดไว้บนหน้าแรกเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 7 วัน หวังว่าท่านและครอบครัว จะเห็นความจริงใจและให้อภัยในการกระทำที่ผิดพลาดในครั้งนี้ ซึ่งเป็นการกระทำผิดในฐานความผิดนี้ครั้งแรกในชีวิต” นายจุลพงศ์ กล่าว
ปรากฏการณ์ดังกล่าว สร้างความมึนงงให้กับคนที่ได้เห็นความเคลื่อนไหวที่ว่านี้ เพราะล่าสุด นายจุลพงศ์ ยังนำเรื่องเขากระโดง มาอภิปรายในสภาอีก แต่หลังฉากกลับไปทำหนังสือขอโทษ และอ้างว่าข้อมูลของตนนั้นเป็นข้อมูลเท็จ ซึ่งความเคลื่อนไหวแบบ “หน้าอย่าง ลับหลังอีกอย่าง” นั้น แน่นอนว่าย่อมทำลายภาพลักษณ์ของทั้งส.ส.และรวมไปถึงพรรคประชาชนอย่างเลี่ยงไม่ได้ จนล่าสุดทำให้มีสมาชิกพรรค อย่างเช่น นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต กรรมการบริหารและสส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ทนไม่ไหวถึง กับออกมาโพสต์ ให้ขับไล่เขาออกไปให้พ้นจากพรรค
นายจุลพงศ์ ได้เคยอภิปรายเรื่องเขากระโดงเอาไว้ประมาณต้นปี 68 ทางพรรคไม่มีใครทราบว่าต่อมาได้ถูก นายเนวิน ฟ้องหมิ่นประมาท ความหวาดกลัว หรือจะความรู้สึกอื่นใดอีกไม่ทราบได้ ทำให้นายจุลพงศ์ ตัดสินใจแอบไปทำหนังสือขออภัยต่อนายเนวิน เงียบ ๆ ไม่บอกกล่าวใคร พร้อมทั้งบริจาคเงินให้ รพ.บุรีรัมย์ 1 หมื่นบาท
สิ่งเลวร้ายที่รับไม่ได้คือ ในหนังสือขอโทษมี เนื้อหาโยนความผิดให้ทีมงานพรรค อ้างว่าตัวเองเป็นสส.ใหม่ ไม่รู้เรื่อง ประมาณไร้เดียงสา ตนเพียงแสดงไปตามบทที่ทางพรรคจัดสรรมาให้เท่านั้น แย่ไปกว่านั้นคือ ทำหนังสือขอโทษเงียบๆ ไม่แจ้งกับพรรค แล้วยังมากล้าอภิปรายซ้ำ ด้วยข้อมูลชุดเดิมอีก ให้ถูกฉีกหน้ากลางสภา เสียศักดิ์ศรี และทุเรศมากมาย
แน่นอนว่าเรื่องดังกล่าวย่อมนำมาซึ่งความน่าอับอายของพรรคประชาชน กลายเป็นว่าทั้งสองกรณีดังกล่าวได้ทำลายเครดิต และทำลายการสนับสนุนจากบรรดา “ด้อม” ทั้งหลาย ซึ่งจากผลสำรวจเพิ่งผ่านไปไม่นาน สะท้อนออกมาได้ชัดเจนว่า ความนิยมทั้งตัวหัวหน้าพรรค คือ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ และพรรคประชาชนกำลังเสื่อมความนิยมลงไปเรื่อยๆ !!