รมว.ทรัพย์ฯ ลุกแจงปมตึก SKYY 9 โยนซื้อตึกบอร์ด-ผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ไม่ได้มาจากรมต. บอก “ถ้าท่านเป็นรมว.แรงงาน ก็จะรู้ว่าทำไม่ได้“ ท้าสาบานกลางสภาฯ ทำผิดกม.ดำเนินคดีได้เลย "รักชนก" ลุกซัด “ยังมีตำแหน่งคุ้มกะลาหัว อ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ วันหนึ่งเป็นไรขึ้นมาจะเดือดร้อน”
วันนี้ (30 ก.ย.68) ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ วาระเรื่องด่วน 1 คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่มีนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุม
นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลุกขึ้นชี้แจงกรณีนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายถึงเรื่องคุณสมบัติ และการซื้อตึก SKYY 9 ของบอร์ดประกันสังคม ว่า ตั้งแต่เมื่อวานนี้ (30 ก.ย.) จนถึงวันนี้ก็ไม่อยากจะชี้แจงมาก แต่เผอิญว่าเดินเข้ามาแล้วได้ยินเพื่อน สส. คือนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ซึ่งก็เป็นเพื่อนที่สนิทกัน และอยากจะเรียนว่าการอภิปรายที่กล่าวมาเมื่อสักครู่เกี่ยวกับเรื่องคุณสมบัติ และตึก SKYY 9 จนตนนอนละเมอเพ้อไปถึงตึก SKYY 9 ทุกวัน ตนก็ยังงงจนถึงทุกวันนี้ จึงอยากฝากเรียนสั้นๆ ว่า การลงทุนของบอร์ดประกันสังคมไม่ได้ลงทุน 7,000 ล้าน แต่เขาลงทุนเป็นหลักล้านล้าน มีบอร์ดลงทุน บอร์ดประกันความเสี่ยงที่แต่งตั้งโดยผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหมด
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า กรอบกำหนดของรัฐมนตรี วันหนึ่งฝ่ายค้านที่เอ่ยนามมาทั้งหลายท่าน ถ้าวันนึงได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานก็จะทราบเองว่าอำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานไม่ได้ลงไปล้วงลูก ในเรื่องของการลงทุน เราได้แค่กรอบกำหนดว่า พ.ร.บ.กำหนดลงทุน สัดส่วน 60% ลงทุนในสินทรัพย์ไม่มีความเสี่ยง 40% ความเสี่ยงต่ำความเสี่ยงสูงเท่าไหร่ เช่นกันการลงทุนในธนบัตรรัฐบาล หรือการลงทุนกองทุนต่างๆ โดยคุณสมบัติที่ สส.กล่าวมา ในเรื่องการซื้อตึกมาไม่มีระบบต่างๆ เป็นเรื่องของบอร์ดที่พิจารณาการลงทุน รัฐมนตรีไม่มีอำนาจตรงนั้น
“เมื่อวานนี้ ก็มีเพื่อนสมาชิกได้พูดถึงเรื่องนี้ ผมกราบเรียนว่า สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ถ้าใครทำผิด เข้าสู่การตรวจสอบทั้งหมด ผมเองน้อมรับทุกเรื่องถ้ามีการเกี่ยวโยงเกี่ยวพันกับผม ผมก็อยากให้เรื่องเหล่านี้จบไปเสียที เพราะมันเป็นปีสองปีแล้วที่วนไปวนมาในเรื่องตึกเหล่านี้” นายสุชาติ กล่าว
นายสุชาติ กล่างอีกว่า ตนกราบเรียนประกันสังคมว่า กองทุนประกันสังคมฝากถึงพี่น้องประชาชนผู้ประกันตนว่ามีเงิน 2.6 ล้านล้าน ซึ่ง 30 ปีที่กองทุนประกันสังคมเกิดขึ้นมา มีเงินแค่ 1.6 ล้านล้าน จากนายจ้าง 5% ลูกจ้าง 5% และรัฐบาลสมทบ 2.75 และอีก 1 ล้านล้านเกิดจากการลงทุนดอกผล ถ้าเราไม่มีการลงทุน วันนี้บอร์ดลงทุนไม่มีใครกล้ามาเป็นบอร์ดลงทุนหรอก เพราะกลัวโดนร้องเรียน และคนเหล่านี้ได้เพียงแค่เบี้ยประชุมไม่กี่พันบาท ตัวแทนอัยการสูงสุด ตัวแทนกรมธนารักษ์ ตัวแทนสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตัวแทนแบงค์ชาติ เขาไม่มาเสี่ยงทำอะไรผิดๆ
นายสุชาติ ยืนยันว่า เงินที่มี 1 ล้านล้านที่งอกขึ้นมานั้นมาจากการลงทุน สิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตนทั่วประเทศ 13 ล้านคน ตามาตรา 33 ได้มาจากการลงทุนดอกผล และรัฐมนตรีจะรู้จาก สตง.ในการตรวจสอบ ถ้าวันนี้ไม่มีคนมาเป็นบอร์ดลงทุนประกันสังคม กองทุนประกันสังคม 2.6 ล้านล้าน คงต้องฝากที่ธนาคาร ดอกเบี้ย 70 สตางค์หรือบาทหนึ่ง ท่านลองนึกภาพว่าจะเอาเงินตรงไหนจ่ายสิทธิประโยชน์ให้เรามากขึ้น การลงทุนทุกอย่างถ้าประกันสังคมลงทุน โดยมาจากมีบอร์ด และผู้ทรงคุณวุฒิต่างๆ ไม่ได้มาจากรัฐมนตรี จึงอยากให้รู้ว่า วันหนึ่งถ้าท่านเป็นรัฐมนตรีก็จะรู้ว่ามันทำไม่ได้ รู้ได้อย่างเดียวคือกรอบการลงทุนคือลงทุนแบบไหน ความเสี่ยงสูงความเสี่ยงต่ำคือเท่าไหร่
“พี่น้องประกันตน 13 ล้านคน ถ้ากองทุนประกันสังคมไม่มีการลงทุน ท่านจะไม่มีเม็ดเงินที่เพิ่มจาก 600 สมัยผมอยู่ เพิ่มสัดส่วนดูแลบุตรแรกเกิดเป็น 800 สมัยรัฐมนตรีพิพัฒน์เป็น เพิ่มเป็น 1,000 บาท นี่คือผลงานจากดอกผลที่มีเพิ่มมากขึ้น โควิดต้องจ่ายชดเชยเท่าไหร่ ในช่วงที่คนหยุดงานตกงาน การตรวจวัคซีนต่างๆ และการฉีดวัคซีนต่างๆ ป้องกันตกงานนี่คือสิ่งต่างๆ จากดอกผลประกันสังคมทั้งนั้น” นายสุชาติ กล่าว
ส่วนเรื่องที่นายกฤช ศิลปชัย สส.ระยอง พรรคประชาชน ที่อภิปรายเรื่องการนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ผิดกฎหมาย ว่า ตนไม่รู้จักกับท่านแต่ได้ยินชื่อมานานที่ได้ไปตรวจพื้นที่ในจังหวัดชลบุรีเยอะ ซึ่งผู้นำท้องถิ่นก็เป็นเพื่อนของตนเยอะ และท่านลงตรวจเยอะมาก เป็นคนไปตรวจก็น่าจะรู้ถ้าอันไหนผิดก็ดำเนินคดีไปเลย
“ผมกล้าพูดต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตรงนี้ว่า บ่อดินที่ท่านพูดถึงไม่ใช่ของผม ท่านต้องกล้าสาบานกับผม ท่านมากล่าวหาที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แบบนี้ไม่ได้ การกล่าวหาในสถานที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ผมรู้ว่าผมไม่สามารถไปต่อเราะต่อเถียงได้ แต่เรามีวุฒิภาวะซึ่งกันและกัน ต้องพูดในเรื่องความเป็นจริง ส่วนรถสิบล้อจะมีชื่อใคร วิ่งใคร ผมไม่มีรถสิบซักคันหนึ่ง เขาว่าจ้างไปไหนก็ต้องไป จับผิดหรือถูกต้องไปดำเนินคดีกับต้นทางถึงจะถูก ไม่ใช่ดำเนินคดีกับรถบรรทุก ถ้าสถานประกอบการทำผิดก็ต้องดำเนินคดี” นายสุชาติ กล่าว
นายสุชาติ กล่าวด้วยว่า ส่วนในเรื่องที่กล่าวหารถบรรทุกที่เป็นผู้ชำนาญการของตนไปวิ่ง ที่มีชื่อว่ามังกรน้ำเค็ม ก็ต้องบอกว่าในจังหวัดชลบุรีจะทำเสื้อหรือทำสติกเกอร์เขาเอาไปติดได้ทั้งหมด ถ้าเป็นส่วยผิดกฎหมายใครจะบ้าเอารูปตัวเองไปติด และเรื่องของคดีความต่างๆ คดีเก็บผลไม้ป่า ตอนเรียนว่าคดีค้ามนุษย์เป็นคดีนอกราชอาณาจักร ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และอัยการสูงสุด ร่วมกันทำคดี ผลสรุปออกมาแล้วว่าเป็นใคร ข้าราชการกระทรวงแรงงานไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง
ส่วนข้อหาที่ร้องไปทาง ป.ป.ช. มติชี้มูลไปหมดแล้ว ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะถ้าตนมีส่วนเกี่ยวข้องคงไม่ผ่านด่านการตรวจมาเป็นรัฐมนตรี จึงอยากกราบเรียนในสถานที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ว่า สิ่งใดถ้าตนทำผิดกฎหมาย ขอให้ดำเนินคดีตนได้ทุกเรื่อง ขออย่ากล่าวหากันลอยๆ เราลูกผู้ชายด้วยกัน มีอะไรสงสัยเจอกันหน้าห้องน้ำก็เจอทำไมไม่ถามกัน คุยกันได้
ขณะที่ น.ส.รัชนก ศรีนอก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน ลุกขึ้นตอบนายสุชาติ โดยระบุว่า ไม่ลุก เดี๋ยวมานอนไม่หลับ ขอใช้เวลาสั้นๆ ก่อนถามว่า นายสุชาติ เป็นรัฐมนตรีมากี่กระทรวง ไม่รู้หรือ ว่าตำแหน่งรัฐมนตรีเอาไว้ทำอะไรดีๆ ได้ ไม่ใช่จะหาผลประโยชน์อย่างเดียว และตนเอง แม้ไม่เคยเป็นรัฐมนตรีซักกระทรวง แต่ก็รู้ว่าตำแหน่งอันสูงค่านี้ ที่ท่านได้เป็นมาไม่รู้กี่กระทรวง สามารถเอาไว้ทำอะไรเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของพี่น้องประชาชน
“วันนี้ท่านยังมีตำแหน่งคุ้มกะลาหัวอยู่ ท่านจะพูดอะไรท่านก็พูดไป แต่วันหนึ่งหมดอำนาจ หมดบารมีขึ้นมา ที่ได้อ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์เอาไว้เยอะๆ วันหนึ่งมีอันเป็นไปจริงๆ ขึ้นมาแล้วเดี๋ยวจะเดือดร้อน” น.ส.รักชนก กล่าว
ระหว่างนั้นได้มี สส. ลุกขึ้นประท้วงว่า เป็นการใช้คำไม่สุภาพ และขอให้ถอนคำว่า คุ้มกะลาหัว ทำให้นายมงคล ประธานในที่ประชุมขณะนั้น ขอให้ถอนคำพูด แต่นางสาวรัชนกยืนยันไม่ถอน ซึ่งนายมงคล ยืนยันว่า ขอให้ถอนคำพูด เพราะฟังดูแล้วไม่สุภาพ ทำให้นางสาวรักชนก ยอมถอนคำพูด