“จิราพร” ซัดรัฐบาลอนุทินพิสดาร เกิดจากเอ็มโอเอ แต่ฉีกเองทันที แฉสัมพันธ์คำประกาศผู้นำเพื่อนบ้าน-คำวินิจฉัยศาลเป๊ะราวจัดฉาก หวั่นเร่งดูดเสียงกลายเป็นเสียงข้างมาก ลั่นสิ่งที่ประชาชนอยากฟังคือคำตอบต่อคดีทุจริต ไม่ใช่นโยบายลอยๆ 7 หน้า 4 เดือน พร้อมประกาศเพื่อไทยจะใช้เวลานี้ตรวจสอบเข้มข้นทุกมิติ
วันนี้ (30 ก.ย.) ที่รัฐสภา ในการประชุมรัฐสภา ที่มี นายมงคล สุระสัจจะ รองประธานรัฐสภา เป็นประธานการประชุมวารพิจารณาให้รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ และ รมว.มหาดไทย แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ต่อเนื่องเป็นวันที่สอง น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย อภิปรายในที่ประชุมรัฐสภา ระหว่างการแถลงนโยบายของรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ว่า รัฐบาลชุดนี้ถือเป็นรัฐบาลพิเศษที่เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ผิดปกติ และจัดตั้งขึ้นด้วยวิธีพิสดาร โดยได้ย้อนเหตุการณ์ว่า เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2568 พรรคภูมิใจไทยประกาศถอนตัวจากรัฐบาล ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ต่อมาเพียง 6 วัน คือ วันที่ 24 มิ.ย. ผู้นำประเทศเพื่อนบ้านกลับประกาศว่า ประเทศไทยจะเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีภายใน 3 เดือน หลังจากนั้น เพียง 1 สัปดาห์ วันที่ 1 ก.ค. ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น หยุดปฏิบัติหน้าที่ และท้ายที่สุด 19 ส.ค. ศาลวินิจฉัยให้ น.ส.แพทองธาร พ้นจากตำแหน่ง ทำให้เกิดรัฐบาลที่พรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำ โดยมีนายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี
“ไม่น่าเชื่อว่า ประเทศไทยมีรัฐบาลใหม่ภายใน 3 เดือน ตามที่ผู้นำประเทศเพื่อนบ้านประกาศไว้จริงๆ เหตุการณ์เหล่านี้ประสานสอดคล้องราวกับจัดวาง” น.ส.จิราพร กล่าว
น.ส.จิราพร กล่าวต่อว่า ระหว่างการเปลี่ยนรัฐบาล มีข่าวลือลึกลับจำนวนมาก แม้แต่แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคยังบอกว่าพูดไม่ได้ทำให้สงสัยว่าแท้จริงแล้วเอ็มโอเอ (MOA) หรือข้อตกลงทางการเมืองที่ประกาศนั้นอาจเป็นเพียงฉากหน้า แต่เบื้องหลังมีข้อตกลงที่ไม่เปิดเผยซ่อนอยู่
“ฝ่ายค้านหวังว่าเอ็มโอเอจะเป็นเครื่องมือบังคับให้รัฐบาลทำตามสัญญา แต่ในความเป็นจริง เมื่อรัฐบาลภูมิใจไทยเกิดขึ้นกลับฉีกข้อตกลงตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะข้อ 4 ที่ระบุห้ามรัฐบาลแปลงร่างเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก แต่วันแรกที่โหวตเลือกนายอนุทินเป็นนายกฯ กลับได้ถึง 311 เสียง เกินกว่าที่กำหนดไว้ และต่อมาไม่นานยังมีภาพและคำสัมภาษณ์ของ สส.หลายคนที่ชัดเจนว่าเตรียมย้ายเข้าสังกัดภูมิใจไทย เชื่อว่า ภายใน 4 เดือนก่อนยุบสภา พรรคภูมิใจไทยจะเร่งเครื่องสะสม สส.เพิ่มขึ้นอีก หากเกิดจริง รัฐบาลย่อมขยับเข้าใกล้เสียงข้างมาก”
น.ส.จิราพร ยังชี้ว่า สิ่งที่ควรทำที่สุด คือ รัฐบาลต้องนำเอ็มโอเอมาใส่ไว้ในคำแถลงนโยบาย อ่านทีละข้อ และอธิบายว่าจะทำให้สำเร็จภายใน 4 เดือนได้อย่างไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ นายกฯ แถลงนโยบายยาวถึง 7 หน้า เต็มไปด้วยประเด็นมากมายเกินความเป็นไปได้ ทั้งที่เวลามีเพียง 4 เดือน ขณะเดียวกันภารกิจสำคัญที่สุดอย่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นหัวใจเอ็มโอเอกลับถูกกล่าวถึงเพียง 3 บรรทัด
“ขอถามว่า ตอนที่อ่านคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวานนี้ ท่านเชื่อในสิ่งที่แถลงไปหรือไม่ว่าจะทำได้จริง ถ้าเชื่อก็ต้องทำให้สมาชิกรัฐสภาเชื่อด้วยการเริ่มวันนี้ ดิฉันขอให้ท่านลุกขึ้นมาเชิญชวนสว.กลางสภาให้มาร่วมกันแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย เปิดทางให้มีการทำประชามติโดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างหลักประกันได้มั่นใจว่า การทำเอ็มโอเอระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาชนจะนำไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยได้จริง และควรจะทำสัตยาบันร่วมกันระหว่างนายกฯกับผู้นำฝ่ายค้านและสว.ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนำสู่ประชามติแล้วยุบสภา แบบนี้คนถึงเชื่อว่ารัฐบาลจะทำตามที่ตกลงกันไว้และสำเร็จได้จริงตามเอ็มโอเอ”
น.ส.จิราพร ยังกล่าวว่า ตนมีข้อสงสัยต่อคดีที่เกี่ยวพันกับตัวนายกฯ และรัฐมนตรี เช่น คดีฮั้ววุฒิสภา และคดีเขากระโดง ว่ารัฐบาลจะจัดการอย่างไร ประชาชนยังหวาดระแวงว่านายกฯ จะพยายามยุติคดีเหล่านี้ก่อนยุบสภาหรือไม่ ก่อนแถลงนโยบาย นายกฯ ยืนยันว่าคดีเหล่านี้เป็นการกลั่นแกล้ง หากผู้ต้องหาซึ่งเป็นนายกฯ บอกว่าถูกกลั่นแกล้ง เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณไปยังข้าราชการว่าการทำคดีคือการกลั่นแกล้งนายกฯ ทำให้ข้าราชการนั่งตัวแข็งไม่กล้าทำงาน จึงท้าทายนายกฯ ลุกขึ้นยืนยันต่อสภาอย่างชัดเจนว่า จะไม่กลั่นแกล้งหรือโยกย้ายข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับคดีเหล่านี้ และจะไม่แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมใดๆ
น.ส.จิราพร กล่าวอีกว่า เอ็มโอเอยังทำให้กลไกตรวจสอบอ่อนแอ ฝ่ายค้านบางพรรคต้องยกมือเลือกนายกฯ และกลายเป็นองค์ประชุมช่วยรัฐบาล จนเกิดข้อสงสัยว่ารัฐบาลกับสภาสูงเป็น “สีเดียวกัน” เชื่อมโยงไปถึงองค์กรอิสระผ่านกลไกของวุฒิสภา และยังทำให้เกิดรัฐบาลที่กลุ่มอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด มีอำนาจเป็นรองเพียงแค่รัฐบาลที่มาจากการทำรัฐประหาร ขาดอย่างเดียวคือมาตรา 44 นอกนั้นครบทุกอย่าง เท่ากับว่าในอนาคตแม้มีการเปลี่ยนรัฐบาลไปแต่ประเทศไทยก็ยังคงอยู่ระบอบสีน้ำเงินไปอีกนับ 10 ปี
”การตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยด้วยวิธีแปลกประหลาดพิสดารนี้ จึงเหมือนเป็นการให้ชีวิตพรรคสีน้ำเงิน และฝ่ายอนุรักษ์นิยมให้กลับมามีอาวุธครบมือ เป็นการฟื้นฟูคืนชีพฝ่ายอนุรักษ์นิยมและอำนาจพิเศษอย่างเต็มรูปแบบ”
ดังนั้น พรรคเพื่อไทยจะทำให้ 4 เดือนต่อจากนี้ เป็น 4 เดือนแห่งการตรวจสอบอย่างเข้มข้น จะใช้ทุกองคาพยพที่มีในการติดตามตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาลอย่างเต็มที่ ไม่เว้นแม้แต่การตรวจสอบองค์ประชุมที่เป็นหนึ่งในเครื่องมือตามกลไกของสภาในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล นายกฯให้คำสัญญาว่าจะยุบสภาภายในปลายเดือนมกราคม 2569 ตนเชื่อว่า รัฐบาลนี้ไม่อยากอยู่แค่ 4 เดือน แต่มีเป้าหมายที่วางแผนจะอยู่ต่ออีก4 ปี แต่ก่อนที่จะยุบสภา พรรคเพื่อไทยจะทำให้ประชาชนเห็นว่ารัฐบาลแบบนี้สมควรที่จะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลต่อในอีก 4 ปีข้างหน้าหรือไม่