“จุรินทร์” ซัดนโยบาย“หนูตกถังข้าวสาร”กว้างเหมือน “มหาสมุทร” แต่สิ่งที่ประชาชนรอคอยกลับหายไป อ้างข้อจำกัด แต่แท้จริงมีแต้มต่อเต็มมือ หนุนทำ“คนละครึ่ง” แต่ห่วงถูกใช้เป็นกลยุทธ์การเมืองก่อนยุบสภา ตั้งคำถามแรง แก้ รธน.ใหม่แตะหมวด 1–2 หรือไม่ เอาที่ดินคืนทั้งหมดจากเขมรกี่โมง –บ่อนล้ำแดนจัดการอย่างไร พร้อมฝาก “คาถา 5 ข้อ” เตือนนายกฯ อย่าโกง–อย่าเลือกที่รักมักที่ชัง–อย่าลุแก่อำนาจ มิฉะนั้นจบไม่สวย
นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฐ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายในร่างนโยบายของรัฐบาลภายใต้การบริหารของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ว่า หากดูนโยบายรัฐบาลชุดนี้จะพบว่าทั้ง7 หน้า5 หมวด ดูภาพรวมหลายรอบต้องยอมรับว่ามีทั้งที่เขียนไว้กว้างๆ เป็นมหาสมุทร แทนที่จะเฉพาะเจาะจงลงไปเพราะเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจเหมือนที่นายกรัฐมนตรียอมรับ แต่หากชี้แจงว่าเพื่อเป็นการวางรากฐานสำหรับอนาคต ตนก็พอเข้าใจได้ แต่ที่สะดุดเป็นพิเศษคือนโยบายหาเสียงก่อนการเลือกตั้งที่ผ่านมาได้ล่องหนหายตัว ไม่มีปรากฏอยู่ในนโยบายของรัฐบาลชุดนี้หลายนโยบาย
นายจรินทร์กล่าวว่าคำตัดพ้อของรัฐบาล ที่ระบุว่ามีข้อจำกัด3 ข้อคือ1.มีเวลาจำกัด 2. ไม่ได้จัดทำงบประมาณด้วยตัวเองและ3 .เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยหรือรัฐบาลเป็ดง่อย เพราะการเมืองภาค"พิสดาร"ที่โทษใครไม่ได้ เพราะเป็นคนเลือกเองด้วยความเต็มใจ นายกฯเป็นนักธุรกิจคงบวกลบคูณหารเรียบร้อยแล้ว และคงคิดว่ามันคุ้มที่จะแลกตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลกับข้อจำกัดเหล่านี้ และคุ้มที่จะเป็นรัฐบาลต่างตอบแทนคือฝ่ายหนึ่งได้ตำแหน่งนายกฯอีกฝ่ายหนึ่งได้ยุบสภาและแก้รัฐธรรมนูญ หากจะบอกว่าเวลาเป็นข้อจำกัดก็อาจจะใช่ แต่ก็อาจจะไม่ใช่เพราะเอาเข้าจริงรัฐบาลชุดนี้ไม่ได้อยู่แค่ 4 เดือน แต่จะอยู่8-9 เดือนก็อาจจะเป็นได้ หากยุบสภาตามสัญญาที่พูดไว้ น้อยกว่ารัฐบาลชุดที่แล้วแค่เดือนกว่า
ที่สำคัญต้องยอมรับว่ารัฐบาลชุดนี้มีแต้มต่อมากกว่าข้อจำกัดอย่างน้อย4 ข้อ คือ1.การที่มีผู้มาลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีโดยไม่ขอรับตำแหน่งรัฐมนตรีทำให้นายกฯกลายเป็น ”หนูตกถังข้าวสาร“ เพราะมีเก้าอี้รัฐมนตรีมาแบ่งปันกันเหลือเฟือที่สุดยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองระบบรัฐสภา 2 .รัฐบาลชุดนี้บริหารราชการแผ่นดินปุ๊บมีเงินมากองไว้ปั๊บ ไม่ต้องออกแรงเลย เพราะงบเหลือจ่าย ปี 68 รออยู่แล้ว 6หมื่นล้านบาท งบ69 รอใช้แล้ว1 ตุลาคม 3.7 8 ล้านล้านบาท เฉพาะงบฉุกเฉินที่เป็นอำนาจนายกฯอย่างเดียว 98,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นแต้มต่อที่ตนไม่มองว่าเป็นข้อจำกัด
3.มีนโยบายสำเร็จรูปเตรียมไว้ให้แล้วโดยผู้มีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญหรือMOA ที่คิดไว้ให้เสร็จสรรพว่าจะต้องทำอะไรบ้างสำหรับรัฐบาลชุดนี้และสามารถนำไปปฏิบัติได้ทันที 4. เหลือให้คิดเองแค่3 ข้อคือนโยบายที่จะนำมาแถลงต่อรัฐสภาวันนี้ การจัดคณะรัฐมนตรี และการทำนโยบายที่แถลงวันนี้ให้ประสบความสำเร็จ ส่วนMOA ที่ประชาชนบ่นน้อยใจว่าไม่ได้มีปัญหาของประชาชนอยู่ในสมการก็พอเข้าใจได้ว่าช่วงนั้นต้องแย่งชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กันทำให้ท่านนายกฯอาจจะหลงลืมไปบ้างว่าตกหล่นไปหรือเปล่าสำหรับปัญหากับพรรคประชาชนสุดท้ายเมื่อไปยอมรับก็ไม่เป็นไรเพราะMOA เป็นแค่ข้อตกลงระหว่างพรรคการเมือง แต่ไม่ได้มีผลผูกพันรัฐสภาหากไม่นำมาบรรจุไว้ในนโยบายที่แถลงวันนี้
นายจุรินทร์กล่าวว่า ครม.ชุดนี้ประกอบด้วย2 ส่วนคือคนในและคนนอก ในส่วนคนนอกตนขอชมด้วยความจริงใจ หลายตำแหน่งนายกฯจัดได้ดี และถูกฝา ถูกตัว แต่น่าเสียดายที่มีบางตำแหน่งกลายเป็น”ชักใบให้เรือเสีย“ หรือทำให้ครม.ชุดนี้”กระดำกระด่าง“ ตนเชื่อว่านายกฯคงพอจะรู้อยู่แก่ใจโดยดูได้จากตอนที่จัดตำแหน่งรัฐมนตรี หลายคนที่เรียกคะแนนได้นายกฯจะนำมาเปิดด้วยตัวเองทีละคน และตนไม่ตำหนิอะไร แต่สำหรับบางตำแหน่งนายกฯไม่กล้าเอาออกมาเปิดตัว และเหมือนจะทำลับๆล่อๆให้วิจารณ์กัน แต่สุดท้ายหวยก็ออกมาจนได้
”ส่วนรัฐมนตรีคนในผมเข้าใจได้เรื่องโควตากลุ่มและโควตาพรรคการเมือง ไม่มีอะไรวิจารณ์ แต่พอพููดและขอชมนายกฯว่านายแน่มาก ที่กล้าตั้งรัฐมนตรีที่แม้แต่รัฐบาลชุดที่แล้วก็ยังไม่กล้าตั้ง เพราะไม่อยากเสี่ยงที่จะไปเดินตามรอยนายกฯเศรษฐา (ทวีสิน) แต่เมื่อตั้งแล้วก็ต้องรับผิดชอบและขอให้ครมว.ชุดนี้ปฏิบัติภารกิจให้ดีที่สุด“
สำหรับตัวนโยบายตนขอพูดเฉพาะ6 ประเด็นดังต่อไปนี้ 1. การตั้งโจทย์ประเทศในภาวะนี้มี 4 ภัย คือ1 . ภัยเศรษฐกิจ 2. ภัยความมั่นคง 3. ภภัยด้านสังคมและ4.ภัยพิบัติธรรมชาติ ตนไม่วิจารณ์เพราะไม่มีอะไรผิด แต่รัฐบาลตั้งโจทย์ไม่ครบอาจเพราะนายกฯ ไม่ทันได้นึกหรือไม่คิดว่ามันสำคัญ คือภัยที่5 ที่มีความสำคัญยิ่งและเป็นต้นตอที่มาของภัยทั้ง4 ด้าน คือภัยจากการทุจริต คอรัปชั่นหากเติมเข้ามาก็จะสมบูรณ์ในการตั้งโจทย์ประเทศ แต่นายกฯมีคำตอบในนโยบายเรื่องการแก้ปัญหาทุจริตก็พอไปกันได้
2.นโยบายการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการทำประชามติ เชื่อว่านายกฯคงได้ยินว่านโยบายนี้มีหลายคนบ่นว่าไม่ใช่ และไม่ควร แต่บังเอิญมาผิดที่ผิดเวลาประชาชนจำนวนไม่น้อยวิจารณ์ว่าอยากเห็นการแก้ปัญหาปากท้องมากกว่าเพราะวันนี้ปัญหาใหญ่ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านพ้นไปแล้วคือบทเฉพาะกาล ที่เป็นปัญหาใหญ่เปิดให้วุฒิสมาชิกมาร่วมเลือกนายกฯในที่ประชุมสภาได้ ส่วนประเด็นอื่นๆที่เหลืออาจจะสามารถแก้รายมาตราได้ แต่เมื่อรัฐบาลไปแลกตำแหน่งรัฐมนตรีกับการแก้รัฐธรรมนูญมาแล้ว นายกฯและรัฐบาลก็ต้องรับผิดชอบ และถือว่าการแก้ธรรมนูญสามารถที่จะทำควบคู่กับการแก้ปัญหาอื่นๆได้
อย่างไรก็ตามตนมีคำถาม2 ข้อที่ต้องขีดเส้นใต้คือที่นายกฯยืนยันว่าการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับต้องไม่แตะหมวด 1หมวด2 หากมีร่างรัฐธรรมนูญฉบับใดเสนอเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา และไม่กำหนดเงื่อนไขว่าจะไม่แตะหมวดดังกล่าว รัฐบาลนี้จะยกมือให้หรือไม่ และรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4)และ(5) เรื่องคุณสมบัติผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ของรัฐระดับสูง องค์กรอิสระและตำแหน่งใช้อำนาจสำคัญๆ ต้องมีคุณสมบัติที่ระบุไว้ชัดเจนในรัฐธรรมนูญมาตรานี้ว่าต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และต้องไม่มีพฤติกรรมฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงฉบับนี้ และคงเป็นอุปสรรคกับคนโกงและคนเคยโกงถาม ว่าหากมีการแก้ไขข้อนี้แล้วแก้ถอยหลังเข้าคลองนายกฯและรัฐบาลจะสนับสนุนต่อไปหรือไม่
นายจุรินทร์กล่าวว่า การแก้ปัญหาไทย-กัมพูชา ที่รัฐบาลระบุไว้ในนโยบายด้านความมั่นคง ว่าจะรักษาไว้ซึ่งอธิปไตยและเขตแดนที่เป็นของคนไทยโดยชอบธรรมตามเส้นเขตแดนที่เป็นสากล ตนเชื่อว่าคนไทยได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วถึงความรักชาติ รักแผ่นดินร่วมกัน และได้รู้เช่นเห็นชาติเขมรแล้วว่าเป็นอย่างไร และสิ่งที่รัฐบาลกำลังเดินอยู่ทุกวันนี้คือใช้นโยบายการทหาร เศรษฐกิจ และการทูต ควบคู่กันไป ซึ่งด้านการทหารตนเชื่อว่าทุกคนชื่นชมให้กำลังใจกองทัพ และผู้เสียสละในแนวหน้าทุกคน ส่วนเศรษฐกิจตนเชื่อว่าทุกคนเห็นด้วยกับการปิดด่าน จนกว่าเขมรจะหมดการเป็นภัยต่อความมั่นคง และการทูตตนขอชมรมว.ต่างประเทศว่าทำได้ดีอย่างยิ่ง และนายกฯก็พลอยได้หน้าไปด้วย แต่คำถามคือที่เขียนว่า“จะรักษาพื้นที่ของเราตามเส้นเขตแดนที่เป็นสากลที่ถูกครอบครอง” มันไม่ใช่แค่จะรักษาไว้ ตนไม่ถามว่ามีกี่จุดเพราะมันไม่ถูกกาลเทศะ ไม่ใช่เรื่องที่จะมาถามกันตรงนี้ แต่ถามว่านายกฯมีแนวจะเอาคืนทั้งหมดใช่หรือไม่และเมื่อไหร่
2 เรื่องบ่อนเขมรที่สร้างล้ำแดนไทยเข้ามาที่นายกฯบอกว่าสะกดคำว่า“ยอม” ไม่เป็น รัฐบาลนี้เขียนนโยบายนี้ไว้ชัดว่าจะจัดการกับบ่อนที่ผิดกฎหมายให้สิ้นซาก ถามว่าแล้วบ่อนเขมรที่ล้ำเขตแดนของไทยเข้ามา ท่านจะจัดการอย่างไร8-9 เดือน นานพอที่รัฐบาลนี้จะดำเนินการและมีคำตอบได้
3 เรื่องMOU ที่รัฐบาลแถลงว่าจะทำประชามติยกเลิก แต่ไม่ได้ระบุว่าMOU 43 หรือ 44 ถามว่าถ้ารัฐบาลเห็นควรยกเลิกทำไมไม่ตัดสินใจเอง และดำเนินได้ทันทีในเวลาช่วง8 เดือน และจะทำประชามติเมื่อไหร่ กี่โมง จะทำพร้อมกับประชามติแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะถ้าไม่ทำตอนนั้นก็ไม่ทราบว่าจะกำหนดช่วงเวลาไว้ตอนไหน
4.ราคาพืชผลการเกษตรซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่คุกคามมา2 ปีเต็ม ในช่วง8 เดือนที่รัฐบาลอยู่ในตำแหน่งและมีอำนาจเต็มแม้ยุบสภาแล้ว แต่นโยบายหาเสียงข้าวเกวียนละ 12,000 บาท ข้าวขาวหอมมะลิเกวียนละ 18,000 บาท มันสำปะหลังโลละ 4 บาท ไม่ปรากฏในนโยบายเลย มีแค่ระบุไว้กว้างๆ ว่าจะบริหารจัดการราคาสินค้าเกษตรให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เหมาะสมอย่างไร ซึ่งการบ้านข้อใหญ่ของรัฐบาลคือ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์ม ข้าวโพดและผลไม้ โดยเฉพาะข้าวที่ตกต่ำมากที่สุดในรอบ 20 ปี เพราะการส่งออกมีปัญหา เราสู้เวียดนาม อินเดีย พม่าไม่ได้เพราะเงินบาทแข็ง แต่ค่าเงินเขาอ่อน กลายเป็นภาระผู้ส่งออกที่แข่งราคาไม่ได้ ปี 68 เราจะส่งออกเข้าได้น้อยลงเหลือไม่เกิน 7.5 1 ล้านตัน เพราะอินโดนีเซีย และจีน ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ไม่ซื้อ หรือซื้อน้อยลง และปีหน้าตลาดญี่ปุ่นถูกทรัมป์กดดันว่าต้องรับซื้อข้าวของสหรัฐมากขึ้น 45% รัฐบาลต้องทราบและเตรียมตัว เพราะโอกาสที่ไทยจะถูกลดโควต้าส่งออกข้าวญี่ปุ่นจะหายไป และปีนี้ผลผลิตข้าวมากขึ้นเกือบ 2 ล้านตัน ข้าวนาปังกำลังจะออกเดือนตุลาคมนี้ เราจะเอาเข้าไปขายใคร จะช่วยระบายข้าวเพื่อดึงราคาข้าวในประเทศอย่างไร ขอให้รีบเอาการบ้านนี้ไปทำโดยด่วนแล้วจะเป็นการพิสูจน์ฝีมือรัฐบาลใน9 เดือนนี้ รวมถึงปัญหามันสำปะหลังที่2 ปีที่ผ่านมาเหลือบาทกว่า เชื่อว่านายกฯคงมีอยู่ในใจอยู่แล้วเรื่อง
ส่วรเรื่องโครงการ“คนละครึ่ง” ตนไม่มีอะไรท้วงติงและขอสนับสนุน เพราะเคยร่วมรัฐบาลกับนายกฯทำเรื่องนี้ และดีใจที่นำมาใช้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่คนไทยกำลังหายใจรวยรินและขาดกำลังซื้อ พ่อค้า-แม่ค้า และ SME กำลังร่อแร่เต็มที ก็ขอให้รีบทำ
“แต่ก็ขอชมว่ารัฐบาลนี้คิด”แยบยล“มาก เพราะคิดเป็นสองเฟส โดยเฟสแรกเริ่มต้นต.ค.-พ.ย. และเฟสสอง ธ.ค.-ม.ค. ใช่หรือไม่ หากทำเดือนม.ค.พอดี ก็ยุบสภาเลือกตั้งพอดี ”คนละครึ่ง“ แทนที่จะเป็นรัฐบาลครึ่ง ประชาชนครึ่ง ก็อาจจะกลายเป็น ”เศรษฐกิจครึ่ง การเมืองครึ่ง“ ก็ไม่เป็นไรเป็นอำนาจโดยชอบธรรมของรัฐบาลชุดนี้นี้และขอสนับสนุน”
นายจุรินทร์กล่าวเรื่องสุดท้ายนโยบาย การรักษาหลักนิตินิติธรรมอย่างเคร่งครัด ที่ระบุว่าเจ้าพนักงานของรัฐคนใดใช้กฎหมาย และเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ให้ถือว่าผิดวินัยร้ายแรง และต้องถูกดำเนินคดีอาญา แต่ว่าใครไปช่วยหาเสียงเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง และกลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้าม และรัฐบาลนี้ต้องจะจัดการโดยเด็ดขาด นอกจากผิดวินัยแล้วต้องดำเนินคดีอาญาถือเป็นนโยบายที่ดีไม่มีอะไรท้วงติ่ง แต่อยู่ที่ภาคปฏิบัติ อย่างน้อยก็ต้องปรามกรมราชทัณฑ์ไว้ได้ว่าอย่าไปเอื้อนักการเมืองคนใด ให้ปฏิบัติไปตามกฎกติกาโดยเคร่งครัด และดีเอสไอที่ทำคดีอยู่ 2-3 คดี ไม่ต้องเอ่ยก็รู้กันทั้งประเทศ หากยังเดินหน้าทำคดีต่อก็จะเข้าข่ายทำผิดตามนโยบายหรือไม่ เป็นสิ่งที่สังคมกังวลอยู่
ท้ายสุดนายจุรินทร์ได้ฝากคาถาให้กับรัฐบาล 5 ข้อ ข้อคือ1.ขอให้รัฐบาลระลึกถึงคำถวายสัตย์ปฏิญาณไว้เสมอคือไม่โกง เพราะโกงก็จะมีอันเป็นไป ”ทวน“ เป็นอาวุธมีไว้รบกับเขมร แต่ไม่ได้มีไว้ให้ทิ้งก่อนยุบสภา 2.อย่าใช้ระบบเล่นพรรค เล่นพวกเหมือนบางยุคที่ผ่านมาในการโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ เพราะนอกจากจะทำให้คนดีหมดกำลังใจแล้ว จะเป็นการทำลายอนาคตของประเทศด้วย 3 อย่าเลือกปฏิบัติตนไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลจะทำอย่างนั้นแต่ขอฝากไว้ในฐานะผู้แทนฯคนหนึ่ง อย่าเลือกพัฒนาเฉพาะพื้นที่ที่เลือกตนเอง พื้นที่ไหนที่ไม่เลือกเขาก็เป็นคนไทยเหมือนกัน นายกฯเป็นผู้แทนมาหลายสมัยคงเข้าใจดี และคงไม่ทำ
4.อย่าลุแก่อำนาจซ้ำรอยอดีต เพราะเคยเห็นมาแล้วว่ามีทั้งอำนาจบริหารอำนาจนิติบัญญัติ มีสส. และสว. องค์กรอิสระ ถ้าเผลอตัวเมื่อไหร่มันจบไม่สวยเหมือนที่เราเคยเห็นมา แต่เชื่อว่ารัฐบาลนี้จะไม่ทำ และอย่าแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เพราะนอกจากทำลายระบบนิติรัฐแล้ว ยังเป็นของ” แสลง“อย่างยิ่งสำหรับรัฐบาลชุดนี้ ถ้าทำได้ตนเชื่อว่าจะได้กลับมา ส่วนจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาลก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการบริหารราชการแผ่นดินและประชาชนคนไทยทั้งประเทศ