xs
xsm
sm
md
lg

กสม.ชี้โรงไฟฟ้าขยะ 7 แห่งภาคตะวันออก ปิดกั้นประชาชนมีส่วนร่วม หลังชายชุดดำ-รปภ.กีดกันผู้คัดค้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กสม.ชี้การขอตั้งโรงไฟฟ้าขยะ 7 แห่งภาคตะวันออก ปิดกั้นการมีส่วนร่วมประชาชน หลังชายชุดดำ-รปภ.กีดกันผู้คัดค้าน แนะ สผ.ทบทวนหลักเกณฑ์ให้โรงไฟฟ้าทุกประเภท ทุกขนาด ต้องจัดทำรายงาน EIA เหตุขอตั้งโรงงานผลิตไฟฟ้าขนาด 9.9 เมกะวัตต์ ไม่ต้องทำ EIA เพราะไม่ถึงขนาน 10 เมกะวัตต์ ตามกฎหมายกำหนด


วันนี้(26ก.ย.)นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือ กสม. แถลงผลการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการขอตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะอุตสาหกรรม 7 แห่ง ในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคตะวัน ประกอบด้วย พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค กบินทร์ จังหวัดปราจีนบุรี 3 แห่ง , พื้นที่ตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี 2 แห่ง และ พื้นที่ตำบลปลวกแดง อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง 2 แห่ง ซึ่งประชาชนในพื้นที่ยื่นเรื่องร้องเรียนให้ตรวจสอบเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 โดยเนื้อหาการร้องเรียนคือมีการปิดกั้นการมีส่วนร่วมของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียในการรับฟังความคิดเห็นเพื่อประกอบการขออนุญาต และโรงงานผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าแต่ละแห่งมีกำลังการผลิต 9.9 เมกะวัตต์ หลีกเลี่ยงการจัดทำผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรือ EIA และโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมไฮเทค กบินทร์ จังหวัดปราจีนบุรี มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และยังมีความกังวลเกี่ยวกับการใช้น้ำของนิคมอุตสาหกรรมไฮเทคฯ จากบึงสาธารณประโยชน์โคกมะม่วง ซึ่งเป็นบึงที่ประชาชนใช้เพื่อการเกษตร

กสม.ได้ตรวจสอบคำร้องจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 43 ได้ให้สิทธิบุคคลและชุมชนมีสาวนร่วมในการขัดการ บำรุงและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรสิ่งแวดล้อม และมาตรา 58 กำหนดให้การที่รัฐอนุมัติโครงการที่กระทบกับทรัพยากรสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิตของประชาชนหรือชุมชนต้องให้มีการศึกษาและรายงานผลกระทบ รับฟังความคิดเห็นเพื่อประกอบการขออนุญาต แม้การขออนุญาตขอจัดตั้งโรงงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะอุตสาหกรรม 7 แห่ง ใน 3 พื้นที่ภาคตะวันออก มีกำลังการผลิต ติดตั้ง 9.9 เมกะวัตต์ ต่อ 1 โครงการ ไม่เข้าฝ่ายต้องจัดทำรายงาน EIA ที่กำหนดบังคับโรงฟฟ้าตั้งแต่ 10 เมกะวัตต์ขึ้นไป และแม้บางพื้นที่จะมีที่ตั้งติดกัน การจัดตั้งนิติบุคคล และการใช้ระบบสาธารณูปโภคแยกกันชัดเจน ไม่ถือเป็นโครงการที่นำกำลังการผลิตมาคำนวณรวมกัน ไม่เข้าข่าย ต้องจัดทำรายงาน EIA ทั้งนี้โรงงานผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กต้องจัดทำรายงานประมวลหลักการปฏิบัติ (Code of Practice: CoP) ตามระเบียบคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจัดทำรายงานประมวลหลักการปฏิบัติ และรายงานผลการปฏิบัติตามประมวลหลักการปฏิบัติ สำหรับการประกอบกิจการผลิตไฟฟ้า พ.ศ. 2565 (ระเบียบ กกพ. ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจัดทำรายงาน CoP) โดยต้องรับฟังความเห็นและทำความเข้าใจกับประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียเพื่อประกอบการยื่นขอรับใบอนุญาตผลิตไฟฟ้า

ทั้งนี้จากการตรวจสอบปรากฏว่า การขอตั้งโรงงาน สถานที่ตั้งของโครงการ มาตรการควบคุมมลพิษ และผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศของโรงงานทั้ง 7 แห่ง เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกำหนด ในขั้นนี้ซึ่งเป็นช่วงที่ยังไม่ได้เริ่มผลิตไฟฟ้า จึงยังไม่ก่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชนในพื้นที่ ส่วนกรณีโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมไฮเทค กบินทร์ จังหวัดปราจีนบุรี 3 แห่ง ซึ่งมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับความไม่ชอบธรรมของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเนื่องจากทั้งโรงงาน 3 แห่งเป็นบริษัทในเครือเดียวกับบริษัทแห่งหนึ่งที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฯ อยู่ก่อนแล้วนั้น ไม่ถือว่ามีการกระทำอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากโรงงานทั้ง 3 แห่ง เป็นโครงการโรงไฟฟ้าที่ลงทุนก่อสร้างใหม่ ไม่ใช่โครงการในนามบริษัทที่ยังมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฯ ดังนั้น จึงมีคุณสมบัติเป็นผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมากตามที่กำหนดไว้ในระเบียบ กกพ. ว่าด้วยการจัดหาไฟฟ้าฯ อย่างไรก็ตามเห็นรว่าการขอตั้งโรงงานฯทั้ง 7 แห่ง 3 จังหวัดภาคตะวันออก มีประเด็นที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน จากการปิดกั้นการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้มีส่วนได้เสีย ในขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นประกอบประกอบการจัดทำรายงาน CoP โรงงานในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค กบินทร์ จังหวัดปราจีนบุรี และพื้นที่ตำบลปลวกแดง อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ปรากฏมีชายสวมชุดดำปิดบังใบหน้าและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกีดกันไม่ให้ผู้คัดค้านเข้าร่วมประชุมรับฟังความคิดเห็น ส่วนในพื้นที่โรงงานตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี แม้จะเปิดเวทีรับฟังความเห็นแต่ห่างจากที่ตั้งโครงการ 20 กิโลเมตร ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบไม่สะดวกเดินทาง

กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเป็นสิทธิเชิงกระบวนการอย่างหนึ่ง ซึ่งใช้เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนไปสู่การคุ้มครองสิทธิเชิงเนื้อหา การกีดกันไม่ให้กลุ่มผู้ร้องและประชาชนที่เห็นต่างเข้าร่วมประชุมและจำกัดสิทธิในการแสดงความคิดเห็น รวมถึงมีพฤติการณ์ที่ทำให้ผู้เข้าร่วมประชุมหวาดกลัวไม่กล้าแสดงความคิดเห็น ถือได้ว่าการจัดรับฟังความคิดเห็นขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง อันส่งผลกระทบต่อสิทธิของบุคคลและชุมชนที่จะได้รับข้อมูล คําชี้แจง และเหตุผลจากหน่วยงานก่อนการดำเนินการใดที่อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดของประชาชนหรือชุมชน ซึ่งได้รับการรับรองและคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกติการะหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคี จึงได้มีมติเสนอไปยังโรงงานผู้ถูกร้องทั้ง 7 แห่ง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการ คือ

(1) โรงงานผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะอุตสาหกรรมรวม 7 แห่ง ในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคตะวันออก ต้องตรวจวัดปริมาณสารมลพิษตามกำหนดมาตรฐานควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียจากโรงไฟฟ้าที่ใช้ขยะเป็นเชื้อเพลิงที่เกิดขึ้นต่อปี และระบุไว้ในรายงานผลการปฏิบัติตามประมวลหลักการปฏิบัติ หรือ รายงาน CoP สำหรับการประกอบกิจการผลิตไฟฟ้า

(2) กรมควบคุมมลพิษเพิ่มโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (PAH) และฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) เป็นสารมลพิษทางอากาศตามกำหนดมาตรฐานควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียจากโรงไฟฟ้าที่ใช้ขยะเป็นเชื้อเพลิง

(3) สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ทบทวนให้โรงไฟฟ้าพลังความร้อนทุกประเภท ทุกขนาด เป็นโครงการที่ต้องจัดทำรายงาน EIA และทบทวนหลักเกณฑ์การพิจารณากรณีโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนที่มีกำลังการผลิตต่ำกว่า 10 เมกะวัตต์ ตั้งแต่ 2 โครงการขึ้นไปซึ่งมีที่ตั้งโครงการอยู่ติดกันแต่ไม่ถือว่าเป็นโครงการเดียวกัน โดยให้คำนึงถึงการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทในเครือเดียวกันเพิ่มด้วย

(4) บริษัทเจ้าของโครงการนิคมอุตสาหกรรมไฮเทค กบินทร์ จังหวัดปราจีนบุรี ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมกรณีการสูบน้ำจากบึงโคกมะม่วง ตามรายงาน EIA ของนิคมอุตสาหกรรมไฮเทค กบินทร์ อย่างเคร่งครัด รวมทั้งชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนผู้มีส่วนได้เสีย

(5) กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพร่วมกับกระทรวงพลังงาน ส่งเสริมและสนับสนุนให้โรงงานผู้ถูกร้องทั้ง 7 แห่ง นำหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNGPs) มาใช้ในการประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence: HRDD) การจัดให้มีช่องทางรับเรื่องร้องเรียนพร้อมประชาสัมพันธ์ให้ชุมชนรับรู้ และการกำหนดแนวทางที่เหมาะสมเพื่อลดและเยียวยาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการประกอบกิจการ


กำลังโหลดความคิดเห็น