xs
xsm
sm
md
lg

“พรรคแรงงานสร้างชาติ” ชูนโยบาย “กสศ.” เยาวชนแรงงานได้ค่าจ้างที่เป็นธรรมตามศักยภาพและทักษะฝีมือ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“พรรคแรงงานสร้างชาติ” ระดมสมองนโยบายการศึกษาและแรงงาน เด้งรับลูก “กสศ.” ขับเคลื่อนนโยบายเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้ได้รับการพัฒนาทักษะแรงงานสอดคล้องตลาดแรงงานในพื้นที่และได้รับค่าจ้างที่เป็นธรรมหลุดพ้นติดกับดักค่าแรงขั้นต่ำ ผลักดันรัฐบาลและกระทรวงแรงงานควรสร้างแรงจูงใจให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างตามศักยภาพและทักษะฝีมือ

นายมนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทยในฐานะหัวหน้าพรรคแรงงานสร้างชาติ จัดประชุมสัมมนาการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และนโยบายพรรคแรงงานสร้างชาติ ได้ระดมความคิดเห็นนโยบายการศึกษาและแรงงาน 3 เรื่องดังนี้ 1.จ่ายค่าจ้างที่เป็นธรรมตามศักยภาพและทักษะฝีมือ 2.พัฒนาทักษะแรงงานตลอดชีวิตปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่จะเข้ามาทดแทนแรงงานคน และ3.เปิดโอกาสทางการศึกษาถึงระดับปริญญาตรี


ในโอกาสนี้ได้รับข้อเสนอเชิงนโยบายแรงงานเยาวชนนอกระบบการศึกษาของโครงการส่งเสริมโอกาสการเรียนรู้ตลอดชีวิตแก่เยาวชนนอกระบบการศึกษาจังหวัดปราจีนบุรี กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) มาขับเคลื่อนเป็นนโยบายพรรคและผลักดันให้รัฐบาล กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาที่เข้าสู่วัยแรงงาน“การจ้างงานต้องเป็นธรรม” มี 5 เรื่อง ดังนี้ 1.กระทรวงแรงงาน ควรสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพและทักษะแรงงานแก่เยาวชนนอกระบบการศึกษา อายุระหว่าง 18 - 24 ปี ให้สอดคล้องกับตลาดแรงงานในพื้นที่ให้ได้รับการฝึกอบรม 30 ชั่วโมงและได้วุฒิบัติหลักสูตรละ 20 คนต่อ 1 จังหวัด เพื่อนำไปเป็นใบเบิกทางเพื่อขอปรับขึ้นค่าจ้างตามศักยภาพและทักษะฝีมือตามที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ 500 - 700 บาทต่อวัน จะได้หลุดพ้นติดกับดักค่าแรงขั้นต่ำ ตัวอย่างเช่น ทักษะขับรถโฟล์คลิฟท์ หรือ ช่างเชื่อมโลหะซึ่งเป็นทักษะสำคัญในภาคอุตสาหกรรม อีกทั้งควรสนับสนุน “ทักษะช่าง” ให้เกิดช่างชุมชน อาทิ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น พัดลม ปั๊มน้ำ เครื่องทำน้ำอุ่น ฯลฯ ซึ่งเป็นทักษะแรงงานที่สอดคล้องกับแหล่งผลิตสินค้าอุตสาหกรรมในพื้นที่

2.กระทรวงแรงงาน ควรสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพและทักษะแรงงานแก่เยาวชนนอกระบบการศึกษา อายุระหว่าง 15 - 18 ปี ให้สอดคล้องกับตลาดแรงงานในพื้นที่ให้ได้รับการฝึกอบรม 30 ชั่วโมงและได้วุฒิบัติ เพื่อเตรียมพร้อมก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงานและเป็นการสร้างพื้นที่ปลอดภัยไม่ให้ตกอยู่ในวงจรยาเสพติด 3.กระทรวงแรงงาน ควรสร้างแรงจูงใจแก่ผู้ประกอบการขึ้นค่าจ้างตามศักยภาพและทักษะฝีมือ หรือ บรรจุเป็นพนักงานประจำได้รับค่าจ้างและเลื่อนตำแหน่งงานตามศักยภาพและทักษะฝีมือแรงงานตามที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงานกำหนด 500-700 บาทต่อวัน ด้วยการมีความร่วมมือกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงานในฐานะพัฒนาทักษะแรงงานและรับรองวุฒิบัติมาตรฐานฝีมือและกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานในฐานะดูแลสิทธิการจ้างงานขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบการใส่ใจดูแลคุณภาพชีวิตเยาวชนนอกระบบการศึกษาที่เป็นลูกจ้างตน


4.กระทรวงแรงงาน ควรสนับสนุนการพัฒนาการเรียนรู้ “ทักษะอาชีพเสริม” เนื่องจากเยาวชนนอกระบบการศึกษาสุ่มเสี่ยงว่างงานสูง เพราะปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์เข้ามาทดแทนแรงงานคน หรือ การนำเข้าแรงงานข้ามชาติเข้ามาทดแทนแรงงานไทยเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการมีอาชีพเสริมควบคู่ไปกับอาชีพประจำจะเป็นการเสริมทางรอดเศรษฐกิจครอบครัว ขณะเดียวกันโรงงานนับเป็นตลาดเศรษฐกิจขนาดใหญ่เกิดการซื้อขายสินค้า จึงควรสนับสนุนความรู้ทางธุรกิจให้สามารถหาประโยชน์จากการมีรายได้เสริม อาทิ ขายเบเกอรี่ , เสริมสวยตัดผม , ขายของออนไลน์ เป็นต้น หารายได้เสริมระหว่างทำงานในโรงงาน และ

5.กระทรวงแรงงาน ควรสนับสนุนการพัฒนาการเรียนรู้ทักษะชีวิตเรื่อง “สุขภาวะแรงงาน” จากการทำงาน ปัญหาสุขภาพจากการทำงานในอนาคต ผลกระทบจากการทำงานที่มีชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อาทิ โรคปวดตามข้อกระดูก และ โรคเส้นเลือดขอดที่ขา จากการยืนทำงานนานโดยไม่ได้หยุดพักเปลี่ยนอิริยาบท ต้นตอภาวะหลอดเลือดขาอุดตัน หรือ โรคนิ้วล็อกจากการใช้นิ้วมือทำงานซ้ำ ๆ นานเกินไป เช่น แกะกุ้ง รีดกุ้ง ชำแหละไก่ ฯลฯ โดยมิได้ออกกำลังกายหรือพักผ่อนอย่างเพียงพอ จึงทำให้เกิดความเครียดสะสม สาเหตุหนึ่งที่ทำให้หันไปพึ่งสารเสพติด เพื่อเยียวยาความเครียด ทำให้รายได้ที่ได้มาต้องสิ้นเปลื้องไปกับเล่นการพนันสุราบุหรี่ มากกว่าไปจัดหาอาหารที่เป็นประโยชน์บำรุงร่างกายและสมองให้กับตัวเอง หรือนำไปชำระหนี้สินและเก็บออมไว้ใช้ยามฉุกเฉิน และเยาวชนนอกระบบการศึกษาที่ทำงานอยู่ในโรงงานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่เข้าสู่สถานะการเป็นลูกจ้างในช่วงอายุยังน้อย จึงทำให้เยาวชนวัยแรงงานทั้งหญิงหรือชายเข้าสู่ภาวะเจริญพันธุ์เร็ว กล่าวคือ มีบุตรก่อนวัยอันควร หรือ ท้องไม่พร้อม เป็นต้น


นายมนัส กล่าวว่า เยาวชนนอกระบบการศึกษาในบริบทสังคมโรงงาน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 เยาวชนนอกระบบการศึกษาที่เป็นแรงงานนอกระบบทำงานอยู่ในโรงงาน ต้องการพัฒนาทักษะแรงงานจากแรงงานไร้ทักษะเป็นแรงงานมีทักษะให้ได้รับค่าจ้างตามศักยภาพทักษะฝีมือแรงงานเพื่อจะได้มีรายได้ที่เพิ่มขึ้นเพียงพอต่อการดำรงชีพและเลี้ยงดูครอบครัว และ กลุ่มที่ 2 เยาวชนนอกระบบการศึกษาที่อยู่นอกโรงงานหรืออยู่ในชุมชน ไม่มีพื้นที่ปลอดภัยและพื้นที่เรียนรู้สร้างสรรค์จึงตกอยู่ในวงจรยาเสพติด

ทั้งนี้ปัญหาเยาวชนนอกระบบการศึกษาในบริบทสังคมโรงงาน มี 4 เรื่องสำคัญที่เชื่อว่านโยบายดังกล่าว จะสามารถบรรเทาปัญหาของน้อง ๆ ได้ อาทิ 1. "ปัญหาชีวิตครอบครัว" ที่ทำให้หลุดนอกระบบการศึกษาและเข้าสู่วัยทำงาน เช่น พ่อแม่แยกทางกัน 2. "ปัญหาปากท้อง" เนื่องจากฐานะทางบ้านรายได้น้อยจำต้องออกมาหางานทำเพื่อเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัว 3. "ปัญหายาเสพติดในชุมชน" ที่น้องๆเข้าไปเกี่ยวข้อง หรือคนรอบข้างอยู่ในวงจรยาเสพติดจึงทำให้น้องๆ รู้สึกไม่มีพื้นที่ปลอดภัย และ 4. "ปัญหาภายในของน้องๆเอง" เพราะน้องๆบางคนมีปมในใจในอดีต อาทิ มีประสบการณ์ที่ไม่ดีเกี่ยวกับโรงเรียน หรือ มีปัญหาการเข้าสังคม เป็นต้น






กำลังโหลดความคิดเห็น