โฆษกปชน. ขู่ ถ้ามีการเบี้ยวสัญญา จะใช้เสียงล้ม รบ. หลังถูกถามก๊วนการเมืองแห่ซบ “เสี่ยหนู“ ผิด MOA หรือไม่ ปัดตอบว่าที่ รมต.ยุติธรรม เตรียมเช็คบิลมือทำคดี “เขากระโดง-ฮั้ว สว.“ บอกใครมีข้อมูลแจ้ง ปชน.มาได้
วันที่ (17 ก.ย. 2568) ที่รัฐสภา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาชน กล่าวถึงกรณีมีกลุ่มการเมืองย้ายเข้าไปยังพรรคภูมิใจไทยเพิ่มเติม ซึ่งส่งผลทำให้เสียง สส.เพิ่ม จนอาจขัดต่อข้อตกลงทางการเมือง ระหว่างพรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทย หรือไม่ ว่า ใน MOA มีเนื้อหาที่ปรากฏต่อสาธารณะแล้ว และขอย้ำอีกรอบว่า หากมีการกระทำอะไรที่ขัดต่อ MOA จะดำเนินการตามที่หัวหน้าพรรคประชาชนได้ประกาศไว้ หากมีกรณีที่มีการเบี้ยวสัญญา ตามที่ข้อตกลงที่ระบุว่า ห้ามกระทำการใด ที่จะเปลี่ยนแปลงสถานะรัฐบาลเสียงข้างน้อย เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก แต่ก็เข้าใจว่า มีบางคนตั้งคำถามว่า อาจจะมี สส.พรรคอื่น ที่ไม่ได้ร่วมเป็นรัฐบาล ย้ายเข้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งพรรคประชาชนจับตาอย่างใกล้ชิด
“หากถึงจุดนั้น ก็จะดำเนินการตามมาตรการ ที่เรามี ในการควบคุมการรักษาสัญญา แต่คิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันยิ่งตอกย้ำ ว่าทำไมถึงต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะกลายเป็นว่ามีรัฐธรรมนูญที่เปิดช่องให้ สส.คนหนึ่ง วันนึงไปขอคะแนนเสียงประชาชนในนามพรรคหนึ่ง นโยบายของพรรคหนึ่ง แต่พอเข้ามาแล้ว อยู่ดีๆ ก็เดินไปสมัครกับอีกพรรคนึง หรือไปสนับสนุนอีกพรรคนึง ทั้งที่ตัวเองยังคงเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่ ในประเด็นนี้ ยิ่งตอกย้ำว่า ควรที่จะรวมเข้าไปด้วย ตอนที่มีการพิจารณาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” นายพริษฐ์กล่าว
เมื่อถามว่า แม้จะจับตาอยู่ แต่หากพรรคภูมิใจไทยบอกว่าไม่ได้ดึง เขามาหาเอง จะเข้าข่ายผิดสัญญาหรือไม่ นายพริษฐ์ ระบุว่า สัญญาเขียนชัดว่า ถ้ามีความพยายามจะแปลงจากรัฐบาลเสียงข้างน้อยเป็นเสียงข้างมาก พรรคประชาชนจะดำเนินการใช้กลไกของรัฐสภา รวมถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อล้มรัฐบาลเสียงข้างน้อย หากไม่รักษาสัญญา ซึ่งหากใครติดตามอย่างใกล้ชิดก็จะรู้ เพราะหากรอให้เกิดเหตุแล้วจะไม่ทันการณ์
ดังนั้น การควบคุมรัฐบาลเสียงข้างน้อย โดยการใช้เสียงฝ่ายค้านที่เกินกึ่งหนึ่งในขณะนี้ หากรอให้เขาดำเนินการเสร็จ กลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก การอภิปรายไม่ไว้วางใจไป ก็ไม่สามารถล้มรัฐบาลได้ ตามหลักคณิตศาสตร์ จึงติดตามดูว่า ความเสี่ยงจะนำไปสู่จุดนั้นหรือไม่
เมื่อถามว่า มีรายงานว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เตรียมที่จะเช็คบิล คดีเขากระโดง กับคดีฮั้ว สว. กังวลหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า เป็น 2 ประเด็น ที่จะรวมอยู่ในการอภิปรายคำแถลงนโยบายของรัฐบาลอยู่แล้ว
ส่วนในเรื่องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่จะมีการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งมา ทางพรรคประชาชนให้ความเห็นไปแล้วว่า สังคมจับตาดูว่า ใครจะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กำกับดูแลดีเอสไอ และคดีฟอกเงินของผู้สมัคร สว. อยู่
จากเดิมที่จะปรากฏข่าวว่า เป็นตำรวจคนหนึ่งที่เคยอยู่ในทีมของ สว. ที่เป็นอดีตตำรวจ และเป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาในคดี พรรคประชาชนเคยทักท้วงไปแล้วว่า หากทำแบบนี้ สังคมจะมีการตั้งคำถาม ว่ามีการแต่งตั้งบุคคลดังกล่าว เพื่อไปแทรกแซงคดีหรือไม่ จึงต้องการให้มีการทบทวน
“ก็เข้าใจว่า มีการทบทวนไปรอบหนึ่ง แต่กลายเป็นว่า ทบทวนไปแล้ว ก็ยังคงเป็นอยู่ ชื่อใหม่ก็จริง แต่ดูสถานะที่มีความเสี่ยง เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนเหมือนเดิม หากมีการทบทวนอีกรอบหนึ่ง คิดว่าจะทำให้หลุดพ้นจากข้อครหานี้ได้ดียิ่งขึ้น” นายพริษฐ์ กล่าว
นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า หากทูลเกล้าฯ ไปแล้ว ก็ยิ่งเป็นการเปิดช่องให้สังคมย่อมตั้งคำถามตรงนี้ได้ ในฐานะฝ่ายค้าน ก็จะตรวจสอบ หากมีการใช้อำนาจ เพื่อแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมโดยมิชอบ พรรคประชาชนมีกลไกที่สามารถดำเนินการได้ ย้ำว่า กลไกในการตรวจสอบของสภา รวมถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ สามารถนำมาใช้ได้ ไม่ใช่เพียงเฉพาะกรณีการเบี้ยวสัญญา MOA แต่ยังรวมถึงการใช้อำนาจโดยมิชอบ ก็เข้าเงื่อนไขเช่นกัน
เมื่อถามถึงรายงานข่าวว่ามีการข่มขู่ทั้งการรถไฟ อธิบดีกรมที่ดิน รวมถึงคนที่ทำคดีเขากระโดง และคดีฮั้ว สว. นายพริษฐ์ กล่าวว่า หากประชาชนมีข้อมูล อย่างเมื่อวานนี้ ก็มีผู้ที่ยื่นข้อมูลให้กับนายวิโรจร์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคประชาชนไปแล้ว มีคณะรับผิดชอบติดตามตรวจสอบ 2 เรื่องนี้อยู่ หากประชาชนมีข้อมูลเพิ่มเติม สามารถส่งให้ยังพรรคประชาชนได้ ยืนยันว่า ทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างตรงไปตรงมา หากมีหลักฐานเรื่องการใช้อำนาจโดยมิชอบ ก็จะดำเนินการตามขั้นตอน