xs
xsm
sm
md
lg

“ปิดเกมนอมินีต่างชาติ” ผู้ตรวจการแผ่นดิน – กมธ.พาณิชย์ ฯ จับมืออุดช่องโหว่กฎหมาย ย้ำเฝ้าระวัง 12 ธุรกิจเสี่ยง !

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



จุดเริ่มต้นของปัญหา รู้หรือไม่?…

วันนี้ประเทศไทยยังเผชิญปัญหา “นอมินีต่างชาติ” ที่ซ่อนตัวอยู่ในธุรกิจหลากหลายสาขา โดยใช้ “คนไทยบังหน้า” ถือครองทรัพย์สินและกิจการ แต่ตัวจริงคือ ต่างชาติ ที่ควบคุมทุกอย่างอยู่เบื้องหลัง ที่ผ่านมา พบว่าต่างชาติถือหุ้นในบริษัทไทยกว่า 1.2 แสนแห่ง ภาคธุรกิจท่องเที่ยว มีโรงแรมในไทยกว่า 200,000 แห่ง แต่ได้ใบอนุญาตถูกกฎหมายไม่ถึง 20,000 แห่ง ! ส่วนภาคเกษตรกรรมโดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยวที่มีพืชผลเศรษฐกิจเป็นรายได้หลักนั้น ได้ผลประโยชน์จากธุรกิจผลไม้แค่ 10% ที่เหลือกว่า 90% ไหลสู่ต่างชาติ

นี่คือ “นอมินี” หรือ ตัวแทนอำพรางของคนต่างด้าว ปัญหาที่ทำให้ไทยสูญเสียทรัพยากรและรายได้มหาศาลมาหลายสิบปี

ผลกระทบหนักกว่าที่คิด !

เศรษฐกิจ : ที่ดินทำเลทองถูกต่างชาติครอบครองผ่านนอมินี คนไทยเสียโอกาส
สังคม : แรงงานต่างด้าวลักลอบตั้งรกราก จนบางพื้นที่กลายเป็น “ชุมชนต่างชาติ”
สาธารณสุข : หนี้ค้างชำระโรงพยาบาลจากแรงงานต่างด้าวพุ่งกว่า 9 หมื่นล้านบาท
ธุรกิจออนไลน์ : แพลตฟอร์มต่างชาติทั้ง Shopee, Lazada, TikTok กวาดค่าคอมฯ 25–30% โดยภาครัฐไทย ไม่ได้รับภาษีใด ๆ เลย 


ผู้ตรวจการแผ่นดิน ร่วมกับ กมธ. พาณิชย์ฯ เร่งขับเคลื่อนสางปัญหา

เมื่อเดือนสิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ผู้ตรวจการแผ่นดิน จับมือกับ คณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา เปิดประชุมใหญ่เพื่อ “อุดช่องโหว่นอมินี”


นายทรงศัก สายเชื้อ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ย้ำถึงสถานการณ์ที่ยังน่าห่วงจากข้อมูลในที่ประชุมดังกล่าวว่า ปัจจุบันยังมีบริษัทต่างชาติที่ถือหุ้นเกิน 49% จำนวนมาก หลายแห่งเข้าข่ายครอบครองทรัพย์สินไม่ถูกต้อง ขณะเดียวกันแรงงานต่างด้าวจำนวนหนึ่งได้พัฒนาเป็นเจ้าของร้านค้า โรงแรม พื้นที่เกษตรกรรม และธุรกิจต่าง ๆ โดยเฉพาะในจังหวัดเศรษฐกิจสำคัญ เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ ชลบุรี ระยอง ตราด และจันทบุรี ส่งผลกระทบต่อคนไทยทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง และการสูญเสียรายได้ภาษีของรัฐ 


เพื่อเดินหน้าสกัดปัญหาที่หยั่งรากลึกนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดิน จึงร่วมมือกับ คณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา นำโดย นายเอกชัย เรืองรัตน์ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่หนึ่ง และคณะ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและขับเคลื่อนข้อเสนอแนะเชิงนโยบายตามคำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดิน เกี่ยวกับปัญหากฎหมายการถือครองที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ของ “นอมินี” มุ่งพัฒนากฎหมายให้เข้มแข็ง ยกระดับการปกป้องผลประโยชน์ของชาติ และสร้างระบบการตรวจสอบที่เข้มขึ้นมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพราะหากปล่อยให้ปัญหานี้เรื้อรัง จะกัดกร่อนทั้งความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมไทยในระยะยาว


ความจริงที่น่าตกใจ ! การขยายขอบเขตธุรกิจนอมินี ไปยังอย่างน้อย 12 สาขาเศรษฐกิจ

นายทรงศัก ยังเผยเพิ่มเติมว่า แม้ว่าจะเริ่มต้นจากการตรวจสอบการถือครองอสังหาริมทรัพย์นอมินี แต่จากการศึกษาพบว่า ปัญหานอมินีได้ขยายไปยังธุรกิจหลายภาคส่วนแล้วถึง 12 สาขาเศรษฐกิจ คือ 1. กลุ่มธุรกิจการก่อสร้าง ซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้รับช่วงต่อ (Subcontract) ได้แก่ ผู้ผลิตเหล็ก ผลิตวัสดุก่อสร้างและบริษัทก่อสร้างโดยตรง 2. กลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยว 3. กลุ่มธุรกิจโรงแรมและที่พัก ซึ่งกิจการในกลุ่มนี้จากการลงพื้นที่ในจังหวัดพังงาได้รับข้อมูลว่าในพื้นที่บริเวณหาดเขาหลักรีสอร์ทและที่พักโฮมสเตย์กว่า 90 % ไม่ใช่ของคนไทยแล้ว แม้ว่าชื่อจะยังเป็นคนไทยแต่แท้จริงแล้วเป็นของบุคคลต่างชาติ รวมถึงคอนโดซึ่งถูกดัดแปลงมาเป็นโรงแรมก็มีลักษณะเป็นนอมินีเช่นกัน 4. กลุ่มธุรกิจที่ดินการเกษตร ซึ่งนอกจากจังหวัดจันทบุรี จังหวัดตราด ยังมีหลายจังหวัดที่มีความเสี่ยง โดยสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินมีแผนจะลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบและเพื่อกระตุ้นกลไกจังหวัดและท้องถิ่นให้ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ 5. กลุ่มการบริการขนส่งสินค้า 6. กลุ่มกิจการค้าปลีกค้าส่ง 7. กลุ่มธุรกิจการค้าขายออนไลน์ (E-commerce) 8. กลุ่มกิจการร้านอาหารและภัตตาคาร 9. กลุ่มกิจการธุรกิจสุขภาพ 10. กลุ่มกิจการสถาบันการศึกษา 11. ขบวนการคอลเซ็นเตอร์ และ 12. กลุ่มกิจการอื่น ๆ เช่นธุรกิจขายของที่ระลึก เนื่องจากปัจจุบันมีร้านค้าชาวจีนเข้ามาตีตลาดในประเทศไทย เนื่องจากสินค้าที่ระลึกสามารถผลิตได้ในราคาถูกในจีน จึงทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยของไทยเกิดความเสียหายขาดทุนต้องปิดกิจการของไทยไป โดยปัญหาดังกล่าวเหล่านี้ ผู้ตรวจการแผ่นดินจะดำเนินการศึกษาเชิงลึกต่อไปในปีงบประมาณ 2569 โดยจะมุ่งเป้าไปยังกลุ่มสาขาที่มีปัญหานอมินีมากเป็นอันดับแรกก่อน




ทิศทางในอนาคต “อุดรูรั่วนอมินี” อย่างยั่งยืน

ผู้ตรวจการแผ่นดิน และ กมธ.พาณิชย์ ฯ เคาะ 5 แนวทางแก้ไข “แก้กฎหมายใหญ่ – ปรับ พ.ร.บ.ธุรกิจคนต่างด้าว พ.ศ. 2542, กฎหมายที่ดิน, กฎหมายฟอกเงิน และเพิ่มโทษหนักทั้งจำคุก–ปรับ–ริบที่ดิน”

1. ออก “กฎหมายกลางนอมินี” โดยเฉพาะ เพื่อปิดช่องว่างทางกฎหมายและกำหนดโทษอย่างชัดเจน ไม่ให้
ต่างชาติเลี่ยงกฎหมาย
2. ตั้งคณะกรรมการเฝ้าระวังนอมินีระดับจังหวัด เชื่อมโยงข้อมูลกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเฝ้าระวัง
ธุรกรรมเสี่ยง โดยบูรณาการข้อมูล กรมที่ดิน–กรมพาณิชย์–ปปง.
3. เร่งแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจคนต่างด้าว และกฎหมายที่ดิน เพิ่มโทษทั้งปรับ จำคุก และริบที่ดิน
4. ออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อบริหารจัดการเชิงระบบแบบบูรณาการ กำหนดนิยามให้ครอบคลุม การมี
กลไกทั้งระดับชาติและระดับจังหวัด
5. ขยายการตรวจสอบครอบคลุม 12 ธุรกิจเสี่ยง โดยเฉพาะ ธุรกิจก่อสร้าง โรงแรม การท่องเที่ยว เกษตรกรรม
อีคอมเมิร์ซ การศึกษา การเงิน และการให้บริการ รวมถึงการติดตามการบังคับใช้กฎหมายจริงอย่างเข้มข้น

บทเรียนจากต่างประเทศ


ประเทศสิงคโปร์และมาเลเซียพิสูจน์แล้วว่า ระบบเปิดเผยผู้รับผลประโยชน์ตัวจริง (Beneficial Owner) ช่วยแก้ปัญหานอมินีได้กว่า 60% ไทยกำลังเดินตามโมเดลนี้ เพื่อให้รู้ว่า “ใครคือเจ้าของตัวจริง”

ความคืบหน้าในการขับเคลื่อนของหน่วยงานรัฐ


▪︎ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า พัฒนาระบบ AI ตรวจสอบนิติบุคคลเสี่ยง ทำ MOU แลกเปลี่ยนข้อมูลกับกรมที่ดิน
เริ่มพิจารณาการแก้ไขพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 และความร่วมมือกับ
กระทรวงมหาดไทย
▪︎ กรมที่ดิน อยู่ระหว่างแก้ไขประมวลกฎหมายที่ดิน เพิ่มโทษผู้กระทำผิด
▪︎ วุฒิสภา ส่งข้อเสนอแนะเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการด้านกฎหมาย
▪︎ คณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อ 24 มิถุนายน 2568 รับข้อเสนอผู้ตรวจการแผ่นดิน พร้อมมอบหมายกระทรวงพาณิชย์สรุปผลโดยเร็ว




นายทรงศัก สายเชื้อ ผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวย้ำ.. “ถึงแม้ในปัจจุบัน ทุกภาคส่วนตื่นตัวในการแก้ไขปัญหานอมินี แต่การกระตุ้นเตือนในการติดตามความคืบหน้าในการเร่งสางปัญหาดังกล่าวจากต้นตออย่างเข้มข้นต่อเนื่องยังถือว่าสำคัญ ไม่ควรปล่อยผ่าน เพราะหากปล่อยให้ปัญหานอมินียังคงเรื้อรัง จะกระทบทั้งความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมไทยรุนแรงยิ่งขึ้น การที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน และ กมธ.พาณิชย์ฯ วุฒิสภา ก้าวขึ้นมาร่วมมือกันในครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาณบวกที่ชี้ว่าประเทศไทยหันมาเผชิญกับปัญหานอมินีอย่างจริงจัง และเดินหน้าสู่การสร้าง
“เกราะกฎหมายที่เข้มแข็ง” มีมาตรการเฉียบขาดทางกฎหมาย และกลไกที่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติและประชาชนไทยอย่างยั่งยืนต่อไป”


กำลังโหลดความคิดเห็น