xs
xsm
sm
md
lg

สภาพัฒน์ เปิด "เส้นความยากจนใหม่" ปรับตัวสูงขึ้น 3,078 บาทต่อคน ต่อเดือน แม่ฮ่องสอน-ปัตตานี ยากจนเรื้อรัง 15 ปีซ้อน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สภาพัฒน์ เปิด "เส้นความยากจนใหม่" คนจนไทยเพิ่ม "แม่ฮ่องสอน-ปัตตานี" ยากจนเรื้อรัง 15 ปีซ้อน อีก 8 จังหวัด เข้าข่ายยากจนเรื้อรัง ส่วน "เส้นความยากจน" ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 3,078 บาทต่อคน ต่อเดือน เผย กลุ่มคนจนมาก หรือ กลุ่มที่เผชิญกับความยากจนขั้นรุนแรง เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.25 หรือ 2.5 แสนคนจาก ในปี 2567 ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยครัวเรือนยากจน อยู่ที่ 7,938 บาท/เดือน

วันนี้ (15 ก.ย.2568) มีรายงานจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ เปิดเผยว่า สภาพัฒน์ ได้เผยแพร่รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ประจำปี 2567 ในลักษณะ เจาะลึกสาเหตุ ปัญหา และแนวทางแก้ไข โดยเฉพาะสถานการณ์ความยากจน "เส้นความยากจน" ของคนไทบ ประจำปี 2567

อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่: https://www.nesdc.go.th/?p=77640&ddl=77641

โดยมีข้อมูลที่น่าสนใจ เช่น สัดส่วนคนจน "จําแนกรายจังหวัด" พบว่า จังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุดเป็น 10 อันดับแรก ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส อุบลราชธานี สระแก้ว พัทลุง ศรีสะเกษ เชียงราย และตาก

"แม่ฮ่องสอน และปัตตานี อยู่ใน 5 อันดับแรก ของจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุดต่อเนื่องกันอย่างน้อย 15 ปี สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความยากจนเรื้อรังใน จังหวัดดังกล่าว"

นอกจากนี้ หากพิจารณาจาก 10 จังหวัดแรกที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุดในปี 2567 จะพบว่า 5 ใน 10 จังหวัด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และตาก

"มักติดอยู่ใน 10 อันดับแรกของจังหวัดที่มี สัดส่วนคนจนสูงสุดในปีอื่น ๆ ด้วย กล่าวคือ มีแนวโน้มเผชิญกับปัญหาความยากจนเรื้อรัง"

อีกข้อมูลหนึ่ง สภาพัฒน์ระบุถึง ความยากจนตามระดับความรุนแรง เป็นจํานวนคนจนในทุกระดับ ที่พบว่า "เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน"

โดย"กลุ่มคนจนมาก หรือกลุ่มที่เผชิญกับความยากจนขั้นรุนแรง" เพิ่มขึ้นจาก 6.28 แสนคน (หรือร้อยละ 0.90 ของประชากรทั้งหมด) ในปี 2566 เป็น 8.79 แสนคน (ร้อยละ 1.25) ในปี 2567

"กลุ่มคนจนน้อย" เพิ่มขึ้นจาก 1.76 ล้านคน (ร้อยละ 2.52) ในปี 2566 เป็น 2.55 ล้านคน (ร้อยละ 3.64) ในปี 2567

และ "กลุ่มคนเกือบจน หรือกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง" ที่จะตกอยู่ใน ภาวะยากจน เพิ่มขึ้นจาก 3.97 ล้านคน (ร้อยละ 5.67) ในปี 2566 เป็น 4.29 ล้านคน (ร้อยละ 6.10) ในปี 2567

สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความจําเป็นในการเสริมสร้างระบบการดูแลกลุ่มเปราะบางให้ครอบคลุมทุกระดับของ ความยากจน ท่ามกลางปัจจัยเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง

อีกข้อมูล เป็น สถานการณ์ความยากจนของไทย ที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ในปี 2567 พบว่า จํานวนคนจน "เพิ่มขึ้นเป็น 3.43 ล้านคน" หรือคิดเป็นร้อยละ 4.89 ของประชากรทั้งประเทศ

"เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 3.41 และเส้นความยากจนปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 3,078 บาทต่อคน ต่อเดือน"

สถานการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงลักษณะพลวัตของความยากจนที่ประชาชนสามารถเปลี่ยนสถานะระหว่าง “จน” และ “ไม่จน” ได้ตามปัจจัยเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคม หรือผลกระทบจากภัยธรรมชาติ

ทั้งนี้ แม้ว่าการเพิ่มขึ้นของคนจนในปีนี้อาจเป็นเพียงภาวะชั่วคราวแต่ถือเป็นสัญญาณที่ควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะแรงงานในภาคเกษตรที่มีจํานวนคนจนเพิ่มขึ้นมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 45.49 ของคนจนทั้งหมด

"สะท้อนถึงความเปราะบางเชิงโครงสร้างของภาคเกษตรที่ต้องพึ่งพารายได้จากการผลิต ซึ่งมีความผันผวนสูง ตามสภาพอากาศและราคาสินค้าเกษตรที่ไม่แน่นอน"

ส่งผลให้ครัวเรือนเกษตรจํานวนมากยังคงตกอยู่ใน ภาวะยากจนเมื่อเศรษฐกิจภาคเกษตรเผชิญกับภาวะชะลอตัว

สถานการณ์ดังกล่าว ยังเห็นได้ชัดในกลุ่มคนเปราะบาง ต่อความยากจนที่มีจํานวนคนจนเพิ่มสูงขึ้นในทุกระดับความรุนแรง

โดยกลุ่ม “คนจนมาก” เพิ่มขึ้น เป็น 8.79 แสนคน และกลุ่ม “คนจนน้อย” เพิ่มขึ้นเป็น 2.55 ล้านคน

นอกจากนี้ ประชากรนอกเขตเทศบาล เผชิญกับภาวะยากจนสูงกว่าประชากรในเขตเทศบาลอย่างชัดเจน และภาคใต้มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุดของประเทศ

โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่ประสบปัญหาความยากจนเรื้อรังอย่างต่อเนื่อง.

"ยังมีข้อมูล ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยครัวเรือนยากจน อยู่ที่ 7,938 บาท/เดือน โดย 51.30% เป็น ค่าอาหารและเครื่องดื่ม 16.86% เป็น ค่าที่อยู่อาศัย 13.16% เป็น ค่าเดินทางและการสื่อสาร"

ขณะที่ หนี้สินของครัวเรือนยากจน 39.10% ของครัวเรือนเป็น ยากจนทั้งหมด และ 55.08% เป็น หนี้เพื่อการอุปโภคบริโภค.


กำลังโหลดความคิดเห็น