“สว.นรเศรษฐ์” จี้ “อนุทิน” ชะลอแลนด์บริดจ์ ชี้กฎหมาย SEC เร่งรีบ ขาดความโปร่งใส เผยพื้นที่ท่าเรือทับซ้อนเขตมรดกโลก เสี่ยงกัดเซาะชายฝั่ง-ทำลายทรัพยากรน้ำ-กระทบเกษตร-ท่องเที่ยว ลั่นรัฐบาล "อนุทิน" มีเวลาจำกัดเพียง 4 เดือน ไม่ควรเร่งผลักดันโครงการใหญ่ แนะชะลอศึกษาให้รอบคอบ พร้อมให้ ปชช.มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
วันที่ 15 ก.ย.นายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา แถลงข่าวถึงความกังวลต่อโครงการแลนด์บริดจ์และกฎหมายระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (SEC) หลังลงพื้นที่รับฟังเสียงประชาชนใน จ.ระนอง และ จ.สุราษฎร์ธานี พบว่าประชาชนจำนวนมากไม่มั่นใจในกระบวนการศึกษาและการรับฟังความคิดเห็น
นายนรเศรษฐ์ ระบุว่า เวทีรับฟังความคิดเห็นจัดเพียงไม่กี่ครั้ง เชิญเฉพาะหน่วยงานรัฐและผู้นำท้องถิ่น ขณะที่ชาวบ้านซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบจริงกลับไม่มีโอกาสเข้าร่วม ข้อมูลที่เผยแพร่ยังไม่ตรงกับรายงานการศึกษาเดิม ขอบเขตการศึกษาก็ไม่ครอบคลุม ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และระบบนิเวศ โดยจำกัดเพียงพื้นที่ 5 กิโลเมตร อีกทั้งยังไม่พิจารณารอยเลื่อนเปลือกโลกในพื้นที่ แต่กลับเร่งรัดให้โครงการต้องเดินหน้าภายใน 120 วัน
นายนรเศรษฐ์กล่าวว่า พื้นที่ท่าเรือระนองมีขนาดเท่าเกาะพยาม ส่วนท่าเรือชุมพรมีขนาดใหญ่กว่าเกาะหลีเป๊ะถึง 3.5 เท่า ต้องใช้ดินและหินถมทะเลปริมาณมหาศาล ส่งผลให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่งและทำลายถิ่นอาศัยสัตว์น้ำ การระเบิดภูเขาเพื่อขนหินและการเดินเรือขนาดใหญ่จะยิ่งซ้ำเติมผลกระทบ นอกจากนี้ กรมชลประทานยังมีแผนสร้างเขื่อน 9–13 แห่งเพื่อป้อนน้ำให้โครงการ เสี่ยงทำให้ชุมชนแย่งชิงการใช้น้ำกับโครงการ ขณะเดียวกันยังอาจกระทบต่อกลุ่มมอแกนและคนไทยพลัดถิ่นที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ หากถูกย้ายถิ่นฐานจะไร้ที่อยู่รองรับ
สำหรับผลกระทบทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว นายนรเศรษฐ์กล่าวว่า เกาะพยามและพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติจะสูญเสียเสน่ห์อย่างถาวร ธุรกิจประมงและที่พักได้รับผลกระทบหนัก รายงานเศรษฐกิจยังประเมินมูลค่าชาวประมงต่ำกว่าความจริง ส่วนถนนเชื่อมชุมพร-ระนองที่ตัดผ่านพื้นที่พะโต๊ะ จะทำลายแหล่งเกษตรสำคัญ ทั้งทุเรียนและกาแฟที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทต่อปี อีกทั้งกฎหมาย SEC ยังให้อำนาจคณะกรรมการกว้างขวางเกินไป เสี่ยงเอื้อประโยชน์ต่อนายทุน
ดังนั้นตนจึงเสนอให้รัฐบาลทบทวนและชะลอโครงการ พร้อมจัดทำการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) โดยหน่วยงานกลางอย่างสภาพัฒน์ เพื่อประเมินผลกระทบเชิงพื้นที่และเปิดโอกาสให้ทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ได้เข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง พร้อมสนับสนุนให้พัฒนาภาคใต้ตามศักยภาพพื้นที่ เช่น เกษตรยั่งยืนและการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ
“ชาวบ้านไม่ได้กลัวความเจริญ แต่เขาไม่ต้องการการพัฒนาที่ถูกยัดเยียด ผิดฝาผิดตัวจากวิถีชีวิตและศักยภาพในพื้นที่ หากจะทำโครงการใหญ่จริง ต้องทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น” นายนรเศรษฐ์กล่าว
พร้อมกันนี้ ยังฝากถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ว่า รัฐบาลปัจจุบันมีเวลาเพียง 4 เดือนตามที่ประกาศจะยุบสภา จึงไม่เหมาะที่จะเร่งผลักดันโครงการใหญ่ใช้งบมหาศาลและก่อสร้างยาวนานนับสิบปี หากต้องการทำจริง ควรนำไปเป็นนโยบายหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้า เพื่อขอฉันทามติจากประชาชนทั่วประเทศ เมื่อได้ความชอบธรรมจากการเลือกตั้งแล้ว จึงเดินหน้าโครงการได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน