ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ อ้าปากเห็นลิ้นไก่! “แม่ทัพกุนเชียง” โหน “แม่ทัพกุ้ง” ฝันอร่อย โครงการโดรน 1 ล้านลำ
โดนกระแสสังคมรุมกระหน่ำอย่างหนัก สำหรับ“บิ๊กเยิ้ม” หรือ “แม่ทัพกุนเชียง” พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 อดีตสว.ยุค คสช. ในฐานะที่ปรึกษา บริษัท Capital Trust Group Limited จากประเทศนิวเซีแลนด์
หลังจากพาตัวแทนบริษัทเข้าพบ “แม่ทัพกุ้ง” พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เมื่อวันที่11 ก.ย.ที่ผ่านมา เพื่อยื่นเอกสารโครงการที่ชื่อว่า AgriTech Drone Digital Bond
ลักษณะโครงการคร่าวๆ ก็คือจะระดมเงินในรูปแบบ พันธบัตรดิจิทัล หรือ Digital Bond วงเงิน 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 960,000 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อโดรนเกษตรอัจฉริยะ 1 ล้านลำ ให้แก่เกษตรกรไทยทั่วประเทศ แบ่งเป็นซื้อจากสหรัฐฯ 500,000 ลำ และจากจีน 500,000 ลำ
อ้างว่าที่มาเสนอโครงการต่อกองทัพภาคที่ 2 มีจุดมุ่งหมายเพื่อฝึกนักบินโดรนชั้นสูง 100,000 คน จากทหารประจำการ และทหารกองประจำการ ยกระดับภาคเกษตรไทยได้เทคโนโลยีทันสมัย พลิกโฉมเศรษฐกิจฐานรากของไทยสู่ความยั่งยืน
แต่ในวันต่อมา 12 ก.ย. “แม่ทัพกุ้ง” ได้ปฏิเสธว่ายังไม่ได้ตอบรับที่จะร่วมโครงการ นั่นเพราะ“แม่ทัพกุนเชียง” พาคณะตัวแทนบริษัทเข้าไปเสนอโครงการที่กองทัพภาคที่ 2 เป็นเวลาแค่ 10 นาที ขอถ่ายรูปแล้วกลับไป ยังไม่ได้ตรวจสอบรายละเอียดอะไรเลย
โดย “แม่ทัพกุ้ง”ย้ำว่า จะต้องผ่านการตรวจสอบให้รอบคอบก่อน ต้องดูทั้งข้อกฎหมายแหล่งที่มาของเงินทุนจากต่างประเทศมาถูกต้องหรือไม่ ต้องวิเคราะห์ดูที่มาที่ไป ก่อนจะรายงานให้กองทัพบกเป็นผู้พิจารณาร่วมตรวจสอบอีกครั้ง
แต่ว่ากำลังพลที่ดูแลเพจเฟซบุ๊ก “กองทัพภาคที่ 2” ได้โพสต์ข้อความลงไปก่อน และต้องลบออกในเวลาต่อมา
ขณะที่กระแสสังคมทั่วไปต่างตั้งคำถามว่า ที่จะออก Digital Bond วงเงินสูงเกือบ 1 ล้านล้านบาท หรือเกือบ 1 ใน 3 งบประมาณประเทศไทย มีรายละเอียดรูปแบบยังไง
แล้วถ้าจัดหาโดรน 1 ล้านลำ ก็จะตกลำละเกือบ 1 ล้านบาท ซึ่งแพงเกินไปสำหรับโดรนการเกษตร แล้วเกษตรกรทั่วไปจะมีปัญญาซื้อไปใช้หรือ
หรือการนำทหาร 1 แสนนาย มาฝึกโดรน ซึ่งเท่ากับ 1 ใน 3 ของกำลังพลทั้งกองทัพ มันจะเป็นไปได้หรือ
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อเดือน ก.พ.68 ที่ผ่านมา บริษัท Capital Trust Group Limited ที่ว่านี้ เคยแอบอ้างชื่อราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ไประดมทุนที่ฮ่องกง มูลค่า 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.9 แสนล้านบาท เพื่อทำ สปอร์ต แอนด์ เอนเตอร์เมนต์ คอมเพล็กซ์ ในกรุงเทพฯ
แต่ต่อมา “พล.อ.จำลอง บุญกระพือ” ประธานอำนวยการราชตฤณมัยสมาคมฯ ได้จัดแถลงข่าวปฏิเสธว่า ราชตฤณมัยสมาคมฯ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัท Capital Trust Group Limited แต่อย่างใด
นั่นก็แสดงว่า บริษัทมีข้อน่าสงสัย แล้วมาเสนอโครงการโดรน 1 ล้านลำแบบนี้ จะเชื่อถือได้แค่ไหน
โดนสังคมตั้งข้อสงสัยมากมายขนาดนี้ เมื่อวันที่ 13 ก.ย.ที่ผ่านมา “บิ๊กเยิ้ม” ได้ชี้แจงต่อสื่อมวลชนว่า ที่มาเสนอโครงการนี้ต่อกองทัพภาคที่ 2 เพราะเห็นความสำคัญของการใช้โดรนในการสู้รบสมัยใหม่ ถ้าใช้งบหลวงซื้อก็ได้ไม่กี่ลำ ข้าศึกก็ไม่เกรงกลัว
แต่หากจะไปบอกว่าระดมทุนเพื่อภารกิจทางทหาร ก็คงไม่มีใครเขาทำกัน จึงใช้ชื่อว่า “โครงการโดรนเกษตร” และไม่ได้ระดมทุนภายในประเทศไทย แต่เป็นคนต่างประเทศทั้งหมด
ส่วนข้อสงสัยที่ว่าทำไมต้อง 1 ล้านลำ “บิ๊กเยิ้ม” บอกว่า ถ้าบริษัทไปเสนอแค่ 100 ลำ ก็คงไม่โดนใจ จึงนำเสนอจำนวนเยอะๆ ซึ่งความเป็นจริงอาจจะแค่ 5,000 ลำก็ได้
เมื่อมีโดรนแล้ว ถ้าไม่ฝึกฝน ก็ไม่มีความชำนาญ จึงเป็นที่มาของโครงการอบรมโดรนทักษะโดรนเกษตร ให้กับทหาร คือให้ทหารเชี่ยวชาญการใช้โดรนแบบไฮบริด ทั้งการเกษตรและการรบ
ช่วงที่ไม่ได้รบ หรือวันหยุดราชการ ทางบริษัทก็จะหาเกษตรกรมาเป็นลูกค้า ก็ให้ทหารออกไปรับจ้างใช้โดรนพ่นยาฆ่าแมลง ใส่ปุ๋ย หรือรดน้ำแปลงเกษตร แล้วได้เปอร์เซ็นต์ คล้ายกับเป็นไรเดอร์ขับแกร๊บ ซึ่งบริษัทก็จะมีรายได้เอากลับไปหมุนเวียนเป็นทุน
ส่วนโดรนที่ใช้ แท้เอกสารโครงการบอกว่าจะซื้อจากสหรัฐฯ และจีน แต่ “บิ๊กเยิ้ม” บอกว่า อาจจะเป็นโดรนภายในประเทศเราก็ผลิตได้ ไม่ต้องไปจัดซื้อจัดหา จากของจีน หรือของสหรัฐ
“แม่ทัพกุนเชียง” ยืนยันว่า ไม่มีเรื่องผลประโยชน์ไม่มีร้อยเปอร์เซ็นต์ วัตถุประสงค์ก็มีเพียงแค่นี้
ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ ก็ไม่เป็นอะไร แต่หากสำเร็จก็จะเป็นผลดี หากไม่สำเร็จ ก็นับหนึ่งแบบเดิม ไปใช้งบบริจาคที่มาจากการชุมนุมของประชาชนไปก่อน คือจากมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ที่ “อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” เป็นประธาน
“บิ๊กเยิ้ม” ยอมรับว่าผู้แทนบริษัทได้โฟกัสมาที่ “แม่ทัพกุ้ง” เนื่องจากปัจจุบัน กระแสเขาฟีเวอร์ และเข้าใจว่าทุกคนเป็นห่วงแม่ทัพกุ้ง ที่เอาชื่อเสียงของเขาไปหากิน
แต่ลงท้าย “บิ๊กเยิ้ม” ก็ยังยืนยันว่า ตั้งแต่รับราชการทหาร ออกสนามมาทั้งชีวิต จนเกษียณ ดูแลลูกน้องตลอด แต่เห็นว่าเป็นโครงการที่ดี สังคมสามารถวิจารณ์ตนได้
พร้อมบอกว่า จะได้กลับไปถามรายละเอียดจากบริษัทให้ชัดเจนมากกว่านี้
หลายคนฟังคำชี้แจงจาก “บิ๊กเยิ้ม” ก็เหมือนว่า ยิ่งงงกว่าเดิม เหมือนพูดกลับไปกลับมา จากที่บอกว่า 1 ล้านลำ ก็กลายเป็นว่า อาจ 5,000 ลำก็ได้
หรือที่บอกว่าจะซื้อจากสหรัฐฯ และจีนประเทศละ 500,000 ลำ ก็กลายเป็นว่าผลิต หรือจัดหาในไทยก็ได้
แล้วสุดท้ายก็ไปน้ำขุ่นๆ ว่า จะกลับไปถามรายละเอียดจากบริษัทให้ชัดเจนมากกว่านี้ ทั้งที่ตัวท่านเองก็เป็นที่ปรึกษาโครงการ แสดงว่า ตอนทำโครงการก็ต้องปรึกษาก่อน
แถมในเว็บไซต์ของบริษัท ก็มีรายละเอียดคำแถลงข่าวที่ “บิ๊กเยิ้ม” ร่วมแถลงเมื่อวันที่ 16 ส.ค. ที่ผ่านมา แล้วจะไปถามอะไรอีก
พูดความจริงเสียทีเถอะ ท่านแม่ทัพกุนเชียง!
++ แม่ยกประชาธิปัตย์ เรียกหา “อภิสิทธิ์” กลับมากู้วิกฤตพรรค
ในช่วงการรวบรวมเสียงสนับสนุนให้ “อนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นนายกรัฐมนตรี เราได้เห็นร่องรอยความไม่เป็นเอกภาพ ภายในพรรคประชาธิปัตย์ กันไปแล้ว
“เดชอิศม์ ขาวทอง” ในฐานะเลขาธิการพรรคนั้น ชัดเจนว่ายืนอยู่ข้างพรรคเพื่อไทย ถึงขั้นในวันที่พรรคเพื่อไทยไปเจรจากับสู่ขอพรรคประชาชน เดชอิศม์ ก็ร่วมขบวนไปด้วย ขณะที่ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” หัวหน้าพรรค ออกแนวกั๊ก ไม่ได้ไปด้วย บอกไม่รู้เรื่อง ไม่มีใครชวนไป และ ยังมี ส.ส.อีกส่วนหนึ่ง ที่แหกไปโหวตหนุน “อนุทิน”แบบไม่สนมติพรรค
เมื่อการตั้งรัฐบาลมีความชัดเจนแล้ว โดยประชาธิปัตย์ต้องไปทำหน้าที่ฝ่ายค้าน “เฉลิมชัย” ก็ยื่นลาออกจากหัวหน้าพรรค ด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ ส่งผลให้กรรมการบริหารพรรค ต้องพ้นตำแหน่งไปทั้งคณะ
บรรดาแม่ยก กองเชียร์ประชาธิปัตย์ พอรู้ข่าวต่างยกมือท่วมหัว เพราะเห็นๆ กันอยู่ว่า ยุคนี้เป็นยุคพรรคประชาธิปัตย์ตกต่ำสุด มีส.ส.แค่ 25 คน แล้วก็มีไทม์ไลน์ชัดเจนว่าอีก 4 เดือนจะยุบสภา เลือกตั้งใหม่ ถ้า “เฉลิมชัย” ยังเป็นหัวหน้าพรรค แล้วเป็นแคนดิเดตนายกฯ มีหวังได้กลายเป็นพรรคต่ำสิบแน่!!
พรรคประชาธิปัตย์ เคยเป็นเสาหลักการเมืองไทย มีภาพลักษณ์ของความเป็น “สถาบันทางการเมือง” มีฐานเสียงภาคใต้ที่แข็งแกร่งที่สุด จนมีคำพูดติดปากว่า “ส่งเสาไฟฟ้าลง คนใต้ก็เลือก” เคยกวาดที่นั่ง สส.กรุงเทพฯ ทั้งหมดก็เคยทำมาแล้ว มีผู้ว่าฯกทม.ในนามพรรคก็หลายคน แต่วันนี้ตำนานเหล่านั้นพังทลายไปแล้ว
การเลือกตั้งครั้งล่าสุด สส.กรุงเทพฯ ของพรรคถึงกับสูญพันธุ์ ในภาคใต้ สส.เขต ก็ถูกพรรคการเมืองอื่นรุกเข้าพื้นที่ แม้แต่คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ ยังแพ้พรรคก้าวไกล หรือพรรคประชาชน ในปัจจุบัน
หากย้อนกลับไปดูว่า ประชาธิปัตย์ ที่มีประวัติยาวนาน เป็นขวัญใจของชนชั้นกลาง คนในเมือง เพราะมีภาพลักษณ์ความเป็น “ประชาธิปไตย” ทำไมถึงได้ตกต่ำขนาดนี้
ชัดที่สุดก็คือ ช่วงที่ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” พาคนของประชาธิปัตย์ออกมาเคลื่อนไหวในนาม กปปส. ขับไล่รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” แล้วไปสนับสนุนให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกมาทำการรัฐประหาร แถมยังบอยคอตการเลือกตั้งปี 2557อีกต่างหาก
ตั้งแต่นั้นมา พรรคประชาธิปัตย์ก็เกิดวิกฤตภายใน มีการแบ่งก๊กแบ่งพวก แย่งชิงกันเป็นใหญ่ คนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่า ไม่ลงรอยกัน ระดับแกนนำคนสำคัญทะยอย ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ไม่ว่าจะเป็น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ , กรณ์ จาติกวณิช , พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค, “ดร.เอ้” สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รวมทั้ง สส.ในกลุ่ม กปปส. อีกหลายคน
พรรคประชาธิปัตย์ ไม่เพียงไปผสมพันธุ์กับ “เผด็จการทหาร” ล่าสุดยังไปผสมพันธุ์กับ “เพื่อไทย” คู่แค้นในทางการเมืองอีกด้วย
ถึงวันนี้ ภาพลักษณ์ความเป็นพรรคประชาธิปไตย ป่นปี้ เพราะคนของพรรคต้องการเข้าสู่อำนาจโดยไม่เลือกวิธีใช้ นโยบายของพรรคก็ไม่มีอะไรโดดเด่น ไม่สามารถแข่งขันกับพรรคใหญ่สองขั้วได้
การลาออกจากหัวหน้าพรรคของ “เฉลิมชัย” จึงถือว่าเป็นโอกาสใหม่ของพรรค แต่คำถาม คือมีใครจะพาพรรคนี้กลับมาสำเร็จอีกครั้ง หรือไม่ ?
คนในพรรคอาจมองว่า “เดชอิศม์ ขาวทอง” เลขาธิการพรรค ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรค จับคู่กับ “ชัยชนะ เดชเดโช” เป็นเลขาธิการพรรค เพราะทั้งคู่กำลังมีอิทธิพลในพรรค ... แล้ว “เดชอิศม์” จะขายได้หรือไม่ ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ ดีไม่ดีอาจมีการย้ายค่ายอีกต่างหาก!
ส่วนรุ่นเก่าลายคราม อย่าง “ชวน หลีกภัย-บัญญัติ บรรทัดฐาน” ว่ากันตามตรง ไม่ว่าในพรรคหรือในพื้นที่ ก็แทบไม่มีบารมีเหลืออยู่แล้ว
จึงมีการมองไปที่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตหัวหน้าพรรค ที่ยังมีภาพลักษณ์ ในด้านคุณธรรม จริยธรรม มีความรู้ด้านการเมือง เคยเป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว หากในช่วงหาเสียงต้อง “ดีเบต” กับแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคการเมืองต่างๆ ที่พอจะเห็นตัวอยู่ในเวลานี้ เชื่อว่าไม่เป็นรองใครแน่
แต่ว่าตอนนี้ “อภิสิทธิ์” ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคไปแล้ว จึงมีคำถามว่า ถ้าจะกลับมาสมัครใหม่ จะเป็นหัวหน้าพรรคได้เลย หรือไม่ เพราะคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับเลือกเป็นกรรมการบริหารพรรค ต้องเป็นสมาชิกพรรคติดต่อกันไม่น้อยกว่า 2 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง
แต่ในข้อบังคับ ก็มีการยกเว้นไว้ว่า... เว้นแต่สมาชิกมีคุณสมบัติข้อใดข้อหนึ่ง เช่น เคยเป็นกรรมการบริหารพรรค เคยเป็น สส.ในนามพรรค หรือ เคยเป็นรัฐมนตรีในนามพรรค
เป็นอันว่า ถ้า“อภิสิทธิ์” จะกลับมาเป็นหัวหน้าพรรค เป็นแคนดิเดตนายกฯ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ก็สามารถทำได้ ขึ้นอยู่กับว่า อภิสิทธิ์จะมาหรือไม่ และที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์จะเลือกหรือไม่
ถ้ามาแล้ว “อภิสิทธิ์” จะขายอะไร จะยังยึดหลัก ซื่อสัตย์ โปร่งใส ไม่ซื้อเสียง ต่อต้านคอร์รัปชัน ต่อสู้กับเผด็จการ หรือไม่ เพราะสิ่งที่ว่ามานั้นประชาธิปัตย์ในยุคที่ผ่านมาทำมันเละเทะ ไปหมดแล้ว หรือจะเน้นขายตัวบุคคล และทีมงาน
ที่สำคัญคนรุ่นเก่าที่เคยเห็นฝีไม้ลายมือของ “อภิสิทธิ์” ในการเป็นนายกฯมาแล้ว จะยังให้การสนับสนุนหรือไม่ ขณะเดียวกัน จะซื้อใจของคนรุ่นใหม่ ที่ไม่ค่อยรู้จักอภิสิทธิ์ ได้หรือไม่ !