ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ ไหวหรือ “ลุงเล็ก” คุย GBC อ่อนข้อให้เขมร
โดนถล่มหนักทีเดียว สำหรับ “บิ๊กเล็ก” พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ในฐานะรักษาการ รมว.กลาโหม ที่ไปเป็นประธานฝ่ายไทย ร่วมประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC ไทย-กัมพูชา ณ จังหวัดเกาะกง เมื่อวานที่ผ่านมา
เพราะมองกันว่า ข้อตกลงที่ได้จากการประชุมครั้งนี้ ศิษย์รักของ “ลุงตู่” ไปอ่อนข้อให้เขมรเกินไปหรือเปล่า
ผลการประชุม ฟังจากที่ “บิ๊กเล็ก”ยืนแถลง ก็บอกว่าเป็นไปอย่างราบรื่น ประสบความสำเร็จ คืบหน้าไปตามสมควร แต่ว่าพอมาดูเนื้อหาสาระจริงๆ ก็มีคำถามว่าข้อตกลงแต่ละข้อนั้น เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยหรือเขมรมากกว่ากัน
เอาตั้งแต่ข้อแรก เรื่องถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ชายแดน ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน ที่จะหารือกันใน 3 สัปดาห์ เพื่อทำแผนการเคลื่อนย้าย โดยให้คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว หรือ IOT มาเข้าร่วมสังเกตการณ์
อันนี้ก็มีคำถามจากนักยุทธวิธีว่า ฝ่ายไทยเอาอะไรคิด เรื่องกำลังอาวุธ ใครๆ ก็รู้ว่าไทยเหนือกว่ากัมพูชาหลายขุม เป็นอำนาจต่อรองที่ไทยมีอยู่ในมือ แทนที่จะคงเอาไว้ กดดันให้เขมรทำตามที่เราต้องการก่อน ค่อยคุยเรื่องการถอนอาวุธ ก็ไม่เห็นจะเสียหาย
แต่เมื่อตกลงจะถอนอาวุธออกจากชายแดน อำนาจต่อรองของไทยตรงนี้ก็จะหมดไป ข้อตกลงนี้ฝ่ายเขมรได้แต่บอกในใจว่า “ออกุนเจริน” หรือขอบคุณหลายๆ
ต่อมา เรื่องเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่ว่าจะตั้งคณะประสานงานร่วมภายใน 1 สัปดาห์ แล้วเริ่มดําเนินการทันที ภายใน 1 เดือน อันนี้ก็ยังต้องลุ้นว่าเขมรจะจริงใจกับเราแค่ไหน
ขนาดทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดขาขาดไปแล้ว 6 นาย ก็ยังไม่เคยแสดงความรับผิดชอบอะไรออกมา แถมโบ้ยเฉยว่า ทหารไทยรุกล้ำเข้าไปเหยียบกับระเบิดในเขตแดนเขมร
มีหลักฐานเป็นกะตั๊กๆ ว่า ทหารเขมรแอบลอบวางทุ่นระเบิดในเขตแดนไทย ทั้งภาพถ่าย วิดีโอคลิป และทุ่นระเบิดของกลางหลายสิบลูก เขมรก็ยังยืนกระต่ายสามขา อ้างว่าไม่ได้วาง แถมกล่าวหาว่าไทยจัดฉากอีก เอากะเขมรสิ
แถมเมื่อเดือนก่อนก็เพิ่งแถลงไปว่า จะไม่ร่วมมือกับไทยเก็บกู้ทุ่นระเบิดถ้าเขตแดนยังไม่ชัด
พลิกไปพลิกมา อย่างนี้ แล้วจะเชื่อใจได้กี่เปอร์เซ็นต์
ส่วนเรื่องปราบอาชญากรรมออนไลน์ หรือแก๊งคอลเซนเตอร์ ที่บอกว่าทั้ง 2 ฝ่าย จะตั้งคณะทํางานภายใน 1 สัปดาห์ เพื่อจัดทําแผนปฏิบัติงานร่วมกัน อันนี้ก็ยังไม่รู้ว่ากัมพูชาจะจริงจังแค่ไหน
ที่จริง รัฐบาลฮุนมาเนต เคยสั่งปราบปรามแก๊งหลอกลวงออนไลน์มาแล้วช่วงหนึ่ง เมื่อราวเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา หลังโดนนานาชาติกดดัน แต่ก็จับได้เฉพาะรายเล็กรายน้อย เหมือนปราบพอเป็นพิธี ส่วนระดับบิ๊กๆ ที่เป็นแหล่งรายได้หลักของระบอบฮุนเซนก็ยังอยู่ยงคงกระพัน
แล้วที่ตกลงกับไทยรอบนี้ มีอะไรเป็นหลักประกันว่าจะเอาจริง
เรื่องต่อมา การบริหารจัดการพื้นที่บ้านหนองจาน ที่คนไทยทั้งประเทศอยากให้จัดการให้เด็ดขาดเสียที แต่ทว่าข้อตกลงจากที่ประชุมรอบนี้ คือการโยนไปให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ JBC ที่ตั้งขึ้นตาม MOU 2543
ทั้งๆ ที่รู้ว่ากลไก JBC นี่แหละ ที่มันใช้ไม่ได้ผล 25 ปีแล้ว เขมรฮุบดินแดนเห็นๆ อย่างมากก็ทำได้แค่ยื่นประท้วง จนพื้นที่บ้านหนองจาน โดนเขมรฮุบเข้ามาเรื่อยๆ
แล้วถ้าโยนไปให้ JBC ก็แสดงว่า ที่ผู้ว่าฯ สระแก้ว ขึ้นป้ายสั่งให้ครอบครัวเขมร 170 หลังคาเรือนออกจากพื้นที่ทันที ตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา เป็นแค่การแสดงละครหรือเปล่า ไม่ได้คิดจะเอาจริงเอาจริงอะไร เพราะสุดท้ายก็โยนไปให้ JBC อยู่ดี
เรื่องสุดท้ายที่เป็นดรามาหนัก ก็เรื่องเปิดด่าน ที่บอกว่าจะเปิดบางจุดให้เฉพาะรถสินค้าผ่านในจำนวนจำกัด ยังไม่ให้คนผ่าน ซึ่ง “บิ๊กเล็ก” อ้างเหตุว่า เป็นเพราะประเทศที่สามที่ลงทุนในกัมพูชา ซึ่งเขาไม่เกี่ยวกับความขัดแย้งแต่ได้รับผลกระทบ จึงกดดันให้เปิด
ฟังดูก็เหมือนมีเหตุผล แต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เรื่องปิด-เปิดด่านนี่แหละที่เป็นเครื่องมืออันหนึ่งที่จะกดดันกัมพูชา ไม่ให้เล่นเหลี่ยมกับเรา ถ้าไปโอนอ่อนให้โดยที่เรื่องอื่นๆ ยังเคลียร์ไม่จบ เขมรก็เตรียมลูบปากบอกหวานเจี๊ยบ
เมื่อวาน “บิ๊กเล็ก” ยังอุตส่าห์ ลงท้ายคำแถลง ย้ำว่าไทยและกัมพูชา ไม่อาจย้ายหนีจากกันไปได้ จึงมีความจําเป็นอย่างยิ่งที่ทั้ง 2 ประเทศจะต้องแก้ปัญหาต่างๆ โดยสันติวิธี
โถลุง ช่างโลกสวยจริงหนอ ถามหน่อยว่า ตั้งแต่เกิดเรื่องตูมตามที่ชายแดนขึ้นมา ฝ่ายกัมพูชาได้แสดงความจริงใจกับเราบ้างหรือยัง ถ้าถามคนไทยทั้งประเทศตอนนี้ เชื่อได้เลยว่าทุกคนก็คงจะตอบว่ายัง
แล้วลุงจะรีบอ่อนข้อให้เขมรไปทำไม.
++ “สันติ พร้อมพัฒน์” โดนขุดคุณสมบัติด้านการศึกษา ต้องยอมตัดใจส่งลูกเป็นรัฐมนตรีแทน
เพราะมีกรณีตัวอย่าง จากการที่ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งให้ “เศรษฐา ทวีสิน” พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยข้อหา มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีตั้ง “ทนายถุงขนม” พิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี ทำเอารัฐบาลล้มไปทั้งคณะ
รอบนี้ ผู้จะมาเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาล “อนุทิน ชาญวีรกูล” จะต้องมีการตรวจสอบคุณสมบัติกันอย่างถี่ถ้วน เป็นพิเศษ
แล้ว “สันติ พร้อมพัฒน์” เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ที่มีชื่อเป็น รองนายกฯควบ รมว.สาธารณสุข ก็โดนเบรกด้วยเรื่องคุณสมบัติด้านการศึกษา
อันที่จริงตอนนี้ “สันติ” มีคำนำหน้าชื่อเป็นถึง“ด็อกเตอร์”แต่คุณสมบัติที่ถูกยกมาเป็นประเด็น ว่า “ด่างพร้อย”นั้น เป็นวุฒิปริญญาตรี จาก ม.รามคำแหง
เรื่องนี้ “ต่อตระกูล ยมนาค” อดีตนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้เคยโพสต์เฟซบุ๊ก เอาไว้โดยอ้างถึง “รศ.คิม ไชยแสนสุข” อธิการบดี ม.รามคำแหง ในขณะนั้นให้สัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.51 ถึงการอภิปรายของ “พ.อ.วินัย สมพงษ์” ส.ส.ประชาธิปัตย์ ที่ระบุว่า “สันติ” ทุจริตการสอบ จน ม.รามคำแหง มีคำสั่งลบชื่อออกจากการเป็นนักศึกษา ว่า ม.รามคำแหง มีคำสั่งลบชื่อ “สันติ พร้อมพัฒน์”จริง ในข้อหาทุจริตการสอบ และปลอมแปลงเอกสารทางราชการ โดยเกิดขึ้นเมื่อปี 42
ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้จับ “นายสมยศ มีสวัสดิ์” ซึ่งให้การต่อเจ้าหน้าที่ว่า ตัวเองชื่อ “ศานติ พรหมภัทร” ที่ไปนั่งสอบในที่ของ “สันติ พร้อมพัฒน์” ทาง มหาวิทยาลัยจึงได้สั่งลบชื่อ “สันติ”เอาไว้ และได้เรียกให้“สันติ” มาชี้แจง แต่สันติไม่มา จึงหมดสถานภาพการเป็นนักศึกษา
กระทั่งต่อมา ม.รามคำแหง ได้ออกระเบียบว่าด้วยการล้างมลทิน ในวันที่ 5 ธ.ค.42 เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิม
พระชนมพรรษา ครบ ๖ รอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ ทำให้นักศึกษาที่เคยถูกลงโทษทางวินัยทุกคน พ้นความผิด
ภายหลัง ทาง ม.รามคำแหง ก็ได้ยืนยันว่า“สันติ พร้อมพัฒน์” สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี และปริญญาโท จาก ม.รามคำแหง จริง ซึ่งต่อมา “สันติ” ยังเรียนจบปริญญาเอก ที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง สาขารถยนต์ไฟฟ้า อีกด้วย
ดังนั้น ถ้าจะเรียกกันอย่างเต็มยศต้องเรียก “ด็อกเตอร์สันติ”
เมื่อถูกเบรกเรื่องคุณสมบัติ “สันติ” ยังบอกว่า เมื่อคราวที่แล้วตนเองก็เป็น ก็เป็น รมช.สาธารณสุข เพิ่งผ่านไป ปีกว่า 2 ปี ช่วงนี้ก็ไม่ได้ทำอะไรผิด และช่วงก่อนหน้านั้น ก็เคยเป็น รมช.คลัง รัฐมนตรีสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงพัฒนาสังคมฯ กระทรวงคมนาคม ก็เป็นมาแล้วทั้งนั้น
“เดี๋ยวนี้ มันมีเรื่องจริยธรรม การตีความมันกว้างจนใหญ่กว่าทะเลอีก!”
แต่ไม่เป็นไร ถ้าตนเองมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ ก็จะส่งชื่อลูกชายมาเป็นแทน ตอนนี้ก็อายุ 40 กว่าแล้วจบทั้ง อังกฤษ อเมริกา จบจุฬาฯ จบอะไรมาเยอะแยะ ทำงานมากมาย เก่งกว่าตนเองอีก
“สันติ” มีลูกชาย 2 คน คนโตชื่อ “พานิช” คนเล็กชื่อ “พัฒนา” ทั้งสองคน เคยเป็นข่าวดังมาแล้วทั้งคู่
“พานิช” เคยโดนคดีเมาขับ ซิ่งเก๋งบีเอ็ม แหกด่านตรวจตำรวจ พื้นที่ สน.ประชาชื่น ถูกศาลพิพากษาจำคุก 2 เดือน ปรับ 4 พันบาท รอลงอาญา 2 ปี พร้อมพักใบอนุญาตขับขี่ 6 เดือน
ดังนั้น คนที่จะมาเป็นรัฐมนตรี คงไม่ใช่คนนี้
ส่วน “พัฒนา”เคยเป็นข่าวเกี่ยวกับเรื่องขายตึก SKYY9 Center ให้กองทุนประกันสังคม ในราคากว่า 7,000 ล้านบาท
“พัฒนา”เป็นผู้บริหารบริษัท วอเตอร์เกทพาวิลเลี่ยน จำกัด ทำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะด้านการลงทุน และบริหารจัดการอาคารขนาดใหญ่
ในปี 2560 “พัฒนา” ซื้อกิจการอาคาร I.C.E. Tower เป็นตึกขนาดใหญ่แต่ร้าง และทรุดโทรม นำมารีโนเวตใหม่ ต่อมาปี 2562 ขายต่อให้กลุ่มทุน AGRE 101 มูลค่า 2,000 ล้านบาท และโอนกรรมสิทธิ์เสร็จสิ้นในเดือนสิงหาคม 2562 ซึ่งตึกนั้น ปัจจุบันคือ SKYY9 Center ที่ถูกขายต่อให้กองทุนประกันสังคม ในราคา 7,000 ล้านบาท
“พัฒนา” ยืนยันว่า ไม่มีความเชื่อมโยง เกี่ยวข้อง กับการขายตึกให้กองทุนประกันสังคมครั้งนี้
แม้ที่ผ่านมายังไม่มีบทบาททางการเมืองเต็มตัว แต่เมื่อ “สันติ” ผู้เป็นพ่อ กำลังถูกมองว่ามีปัญหาด้านคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี ทำให้เป็นโอกาสของเขา ที่จะได้รับการเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีในครั้งนี้