xs
xsm
sm
md
lg

ผู้ตรวจการแผ่นดินลุยแก้ปัญหาคนไร้บ้าน จับมือรัฐ–ประชาสังคม สร้างระบบดูแลทั่วกรุงและปริมณฑล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้ตรวจการแผ่นดินเดินหน้าขับเคลื่อน “โครงการศึกษาเชิงระบบในการแก้ไขปัญหาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไร้บ้านในเขตกรุงเทพมหานครและพื้นที่ข้างเคียง (บางอำเภอในจังหวัดนนทบุรี และจังหวัดสมุทรปราการ)” พร้อมลงพื้นที่เยี่ยมชมการดำเนินงานด้านการดูแลและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไร้บ้าน โดยมีเป้าหมายร่วมกับคณะทำงานและผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ผลักดันนโยบายให้เข้าถึงกลุ่มเปราะบางอย่างแท้จริง และสร้างแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน เสริมสร้างความเป็นธรรมทางสังคมให้ทุกคนสามารถดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีได้ในสังคมไทย


นายทรงศัก สายเชื้อ ผู้ตรวจการแผ่นดิน เผยว่า ปัญหาคนไร้บ้านเป็นปัญหาสังคมที่ดำรงอยู่มาอย่างยาวนาน และมีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพมหานคร ซึ่งประชาชนสามารถพบเห็นกลุ่มคนไร้บ้านเร่ร่อนตามพื้นที่สาธารณะได้บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นสถานีขนส่ง ริมทางรถไฟ ใต้สะพาน หรือย่านชุมชนแออัดซึ่งสถานการณ์เลวร้ายลงหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนในวงกว้าง กลุ่มผู้ประกอบการปิดกิจการเลิกจ้างแรงงาน ต้องเผชิญกับการขาดรายได้ หรือมีรายได้ไม่เพียงพอจนกลายเป็นหนี้สิน และท้ายที่สุดบางรายต้องสูญเสียที่อยู่อาศัยและกลายเป็นคนไร้บ้านในที่สุด

นายทรงศัก ระบุว่า จากการศึกษาข้อมูลของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน พบว่าปัญหาคนไร้บ้านสามารถจำแนกออกได้ 3 มิติ ได้แก่ 1) ปัญหา และอุปสรรคในกระบวนการให้ความช่วยเหลือคุ้มครองคนไร้บ้านและการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น บัตรประชาชน หรือสิทธิบัตรทอง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการรับความช่วยเหลือจากรัฐ 2) ข้อจำกัดของหน่วยงานภาครัฐที่ยังขาดการบูรณาการและการทำงานเชิงรุก รวมถึงข้อจำกัดด้านงบประมาณ บุคลากร และกฎหมาย 3) ปัญหาจากตัวคนไร้บ้านเองที่มีลักษณะซับซ้อน เช่น ไม่มีบ้าน มีปัญหาครอบครัว มีปัญหาสุขภาพ ติดสุรา ยาเสพติด หรือภาวะจิตเวช แม้ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งระดับกระทรวง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และองค์กรภาคประชาสังคม จะมีความพยายามในการดูแลกลุ่มคนไร้บ้าน แต่ยังพบว่าระบบการช่วยเหลือยังไม่ทั่วถึง ไม่ต่อเนื่อง และไม่ตอบโจทย์ชีวิตจริงของคนกลุ่มนี้


ผู้ตรวจการแผ่นดินเล็งเห็นความสำคัญของประเด็นดังกล่าว จึงอาศัยบทบาท หน้าที่และอำนาจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ในการแสวงหาข้อเท็จจริงและเสนอแนะเชิงนโยบายต่อหน่วยงานของรัฐ เพื่อแก้ไขความเดือดร้อนที่ประชาชนได้รับจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือปฏิบัตินอกเหนือหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยยึดหลักความเสมอภาคในการเข้าถึงโอกาส และความเป็นธรรมทางสังคม พร้อมเสนอให้ภาครัฐเร่งสนับสนุนทั้งในด้านงบประมาณ นโยบาย และมาตรการเชิงรุก เพื่อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาเชิงระบบให้การจัดการปัญหาคนไร้บ้านมีความยั่งยืน

นายทรงศัก กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมามีการรวบรวมข้อมูลอย่างรอบด้านผ่านการประชุมหารือกับหน่วยงานภาครัฐ องค์กรภาคประชาสังคม และการลงพื้นที่แสวงหาข้อเท็จจริง เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนในการเสนอแนะเชิงระบบ โดยดำเนินการเรื่อยมาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2567 ได้แก่ การประชุมหารือระดับนโยบายกับหน่วยงานสำคัญ เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรมการปกครอง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ประชุมร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคมชั้นนำที่ทำงานเกี่ยวกับคนไร้บ้านโดยตรง เช่น มูลนิธิอิสรชน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรี ในพระอุปถัมภ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการบ้านนนทภูมิ มูลนิธิกระจกเงา มูลนิธิบ้านนกขมิ้น มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย มูลนิธิเด็กโสสะแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ โดยมีการลงพื้นที่กว่า 6 ครั้ง ทั้งในเขตกรุงเทพฯ เช่น จุดDrop-inสดชื่นใต้สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า,ศูนย์คนไร้บ้านสุวิทย์ วัดหนู,ตรอกสาเก และจังหวัดนนทบุรี จังหวัดสมุทรปราการ ล่าสุดที่จังหวัดปทุมธานี เพื่อรับฟังปัญหาและแนวทางการทำงานของหน่วยงานภาคสนาม อาทิ ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งชายและหญิง บ้านมิตรไมตรี ตลอดจน อบต.คลองห้า เพื่อศึกษารูปแบบงานของอาสาสมัครบริบาลท้องถิ่น พร้อมกันนี้ ยังมีความร่วมมือในระดับเชิงนโยบายและแนวทางการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน โดยได้มีการส่งหนังสือเพื่อขอความเห็นจากหน่วยงานหลัก ได้แก่ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กรมสุขภาพจิต กรมการจัดหางาน สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน กรมการจัดหางาน กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และกรุงเทพมหานคร เพื่อนำข้อมูลมาประมวลและวิเคราะห์สำหรับจัดทำข้อเสนอแนะเชิงระบบต่อไปในอนาคต




นายทรงศัก กล่าวว่าล่าสุดเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาได้นำคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประกอบด้วย หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ที่ปรึกษาผู้ตรวจการแผ่นดิน นางสาวรอยพิมพ์ ถีระวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญประจำผู้ตรวจการแผ่นดิน นายสิริน ชาวเพ็ชรดี รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และนางนวรัตน์ สถาพรนานนท์ ผู้อำนวยการสำนักสอบสวน 3 ลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดปทุมธานี เพื่อหารือกับหน่วยงานภาครัฐระดับพื้นที่ พร้อมเยี่ยมชมการดำเนินงานเกี่ยวกับการดูแลและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไร้บ้าน โดยเริ่มต้นภารกิจที่ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) ประชุมร่วมกับ นายธีรวีย์ วีระวรรณ รองผู้อำนวยการสำนักพัฒนาสังคม กรุงเทพมหานคร และ นายเพ็ชร ภุมมา ผู้อำนวยการเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์คนไร้บ้านในพื้นที่ พร้อมทั้งหารือแนวทางการบูรณาการการทำงานของกรุงเทพมหานครร่วมกับหน่วยงานรัฐอื่น ๆ จากนั้นคณะฯ ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม บริเวณประปาแม้นศรี หลังเก่า ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่กรุงเทพมหานครใช้เป็นจุดให้บริการความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่กลุ่มคนไร้บ้าน โดยเน้นการให้บริการด้านสุขอนามัยและความปลอดภัย นอกจากนี้ได้ขยายความร่วมมือระดับจังหวัดปทุมธานีโดยประชุมและลงพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ นายกันตพงศ์ รังสีสว่าง อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ นางดุสิตา เชาว์เลิศ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดปทุมธานี นางสาวเกตุมณี สินพูนศักดิ์ ผู้ปกครองสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหญิงธัญบุรี และนางปรานอม ประดิษฐกำจรชัย ผู้ปกครองสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งชายธัญบุรี พร้อมทั้งลงพื้นที่ ณ สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหญิงธัญบุรี เพื่อเยี่ยมชมการดำเนินงานและสอบถามข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการดูแลฟื้นฟูคนไร้บ้านในระบบรัฐ ตั้งแต่การดูแลขั้นพื้นฐาน การฟื้นฟูสุขภาพ การฝึกอาชีพ ไปจนถึงการเตรียมความพร้อมสู่การใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีในสังคม










“ไม่ใช่แค่การตรวจสอบ แต่คือการสร้างทางออก หนึ่งในเป้าหมายของโครงการศึกษาเชิงระบบที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินริเริ่มขึ้น เพื่อรวบรวมข้อเท็จจริงจากการปฏิบัติจริงในพื้นที่ ทั้งด้านปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะจากเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ โดยมุ่งหวังผลักดันให้เกิด “นโยบายและมาตรการที่ครอบคลุม” ซึ่งครอบคลุมถึงการจัดหาที่พักพิงชั่วคราว การฝึกอาชีพและจัดหางาน การเข้าถึงระบบสวัสดิการและการรักษาพยาบาล การฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจ และการมีตัวตนในระบบราชการ เช่น การมีบัตรประชาชน ถือเป็นการ ‘สร้างทางออก’ ให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบางที่ถูกมองข้าม เพื่อให้รัฐสามารถวางระบบการดูแลได้อย่างทั่วถึง ยั่งยืน และเป็นธรรม นี่คือการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังอย่างแท้จริง“ นายทรงศัก กล่าวย้ำ






กำลังโหลดความคิดเห็น