“บิ๊กเล็ก” ร่วมประชุม GBC ไทย-กัมพูชา เห็นพ้องถอนอาวุธหนักโดยมี IOT สังเกตการณ์ ร่วมเก็บกู้ทุ่นระเบิด ปราบสแกมเมอร์ โดยไทยส่งข้อมูล 60 ศูนย์หลอกลวงออนไลน์ให้เขมรจัดการ เตรียมผ่อนปรนเปิดด่านเพื่อขนส่งสินค้า ส่วนบ้านหนองจานให้ JBC หาข้อยุติ
วันนี้(10 ก.ย.) เมื่อเวลา 12.30 น.พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยพิเศษ ครั้งที่ 1 ที่จังหวัดเกาะกง ประเทศกัมพูชาว่า วันนี้ ได้มาเป็นประธานการประชุม GBC ร่วมกับ พล.อ.เตีย เซฮารองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา วัตถุประสงค์ของการประชุมในครั้งนี้ เป็นการติดตามความคืบหน้าในการดําเนินการตามผลการประชุม GBC ครั้งที่แล้ว ที่มาเลเซีย โดยเฉพาะข้อตกลงหยุดยิง รวมทั้งแนวทางการดําเนินการต่อไปเพื่อนําสันติภาพและความสงบสุขกลับมาสู่พื้นที่ชายแดนได้อย่างถาวร
พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า การหารือในวันนี้เป็นไปอย่างราบรื่นที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าในหลายด้านนับตั้งแต่การประชุม GBC ครั้งที่แล้ว ซึ่งถือเป็นความสําเร็จในการใช้กลไกทวิภาคีเพื่อแก้ไขปัญหาระหว่างกัน และเป็นการยืนยันว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะยึดมั่นในแนวทางนี้ต่อไป ถึงแม้ว่ายังมีข้อห่วงกังวลบางประการที่ทําให้ฝ่ายไทยรวมถึงพี่น้องประชาชนไทยไม่สบายใจอยู่ และอาจเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูความเชื่อมั่นและความไว้วางใจให้กลับไปเป็นดังเดิมอยู่บ้างก็ตาม แต่สิ่งที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้เห็นชอบร่วมกันในวันนี้ และเป็นการพัฒนาการสําคัญจากการประชุม GBC ในครั้งนี้ ได้แก่
1.การถอนอาวุธหนักและยุทโธปกรณ์ทําลายล้างสูงออกจากพื้นที่ชายแดน กลับสู่ที่ตั้งปกติ โดยฝ่ายเลขานุการ GBC และ RBC จะหารือกันภายใน 3 สัปดาห์ เพื่อจัดทําแผนดําเนินการและเริ่มเคลื่อนย้ายกําลังตามกรอบเวลาที่กําหนด โดยให้คณะผู้สังเกตการณ์ IOT มาเข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วย
2.การเก็บกู้ทุ่นระเบิด โดยจะมีการตั้งคณะประสานงานร่วม ซึ่งประกอบด้วยฝ่ายเลขานุการ GBC และศูนย์ทุ่นระเบิดของไทยและกัมพูชา ภายใน 1 สัปดาห์ เพื่อจัดทําแผนการเก็บระเบิด และกําหนดพื้นที่นําร่องตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อเริ่มดําเนินการทันทีภายใน 1 เดือน
3.การปราบอาชญากรรมออนไลน์ หรือ สแกมเมอร์ ได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยและสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ของทั้ง 2 ฝ่าย ตั้งคณะทํางานภายใน 1 สัปดาห์ เพื่อจัดทําแผนปฏิบัติงานร่วมกัน ทั้งนี้ฝ่ายไทยได้ส่งมอบข้อมูลและพิกัดที่ตั้งของสแกมเซนเตอร์กว่า 60 แห่งในกัมพูชาให้ฝ่ายกัมพูชาไปดําเนินการปราบปรามขั้นเด็ดขาด ซึ่งเป็นสิ่งที่คณะทํางานนี้จะหารือกัน ซึ่งผู้แทนของตํารวจไทยและรองผู้บัญชาการตํารวจกัมพูชา ได้หารือกันนอกรอบเพื่อนัดหมายการประชุมประสานงานตามข้อตกลงนี้เรียบร้อยแล้ว โดยมีกําหนดการในวันที่ 16 กันยายน ที่จะถึงนี้ ที่จังหวัดสระแก้ว
4 การบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนโดยเฉพาะกรณีบ้านหนองจาน โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ JBC ไทย-กัมพูชา หารือเพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับพื้นที่ดังกล่าว และให้คณะกรรมการชายแดนสู่ภูมิภาค หรือ RBC หารือแนวทางการบริหารจัดการบนพื้นฐานของผลการหารือในกรอบที่ JBC โดยใน ระหว่างนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว และผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจย ประสานงานกัน เพื่อให้บริหารจัดการสถานการณ์ให้มีความสงบเรียบร้อย ทั้งนี้ หาก โมเดลนี้ประสบความสําเร็จ ก็จะนําไปใช้กับการบริหารจัดการพื้นที่อื่นที่มีปัญหาลักษ ณะเดียวกันต่อไป
5.เราได้หารือเรื่องการผ่อนปรนให้มีการผ่านแดนบางประเภทและบางจุด และระหว่างที่สถานการณ์ยังไม่เป็นปกติ เพื่อลดผลกระทบต่อภาคธุรกิจ และการขนส่งข้ามแดน โดยเราได้มอบหมายให้กลไก RBC ไปหารือความเป็นไปได้ในการอนุญาตให้มีการ ขนส่งสินค้าผ่านจุดผ่านแดนบางจุดที่ไม่มีปัญหาด้านความมั่นคง โดยอาจเริ่มดําเนินการที่จุดผ่านแดนตามแนวชายแดนจังหวัดจันทบุรี และจังหวัดตราดก่อน
“โดยสรุป ผมเห็นว่านอกจากการที่ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องที่จะถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ชายแดนแล้ว พัฒนาการสําคัญของการประชุม GBC ในครั้งนี้ คือการที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้กําหนดแนวทางดําเนินการใน 2 เรื่องที่ไทยให้ความสําคัญ แต่ก่อนหน้านี้ฝ่ายกัมพูชายังไม่เคยตอบรับ ได้แก่ การเก็บกู้ทุ่นระเบิด และการปราบปรามสแกมเมอร์ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยจะติดตามกับฝ่ายกัมพูชาให้มีการดําเนินการตามที่ได้ตกลงกันโดยเร็ว สําหรับการประชุม GBC สมัยพิเศษครั้งต่อไปจะกําหนดให้เกิดขึ้นภายใน 30 วันหลังจากนี้ โดยมีฝ่ายไทยเป็นเจ้าภาพ
“สุดท้ายนี้ผมขอย้ำว่าไทยและกัมพูชาไม่อาจย้ายหนีจากกันไปได้ จึงมีความจําเป็นอย่างยิ่งที่ทั้ง 2 ประเทศจะต้องแก้ปัญหาต่างๆ โดยสันติวิธี เพื่อนําสันติภาพมาสู่พื้นที่ชายแดนและประชาชนทั้ง 2 ประเทศจะได้กลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติอีกครั้ง ขอบคุณครับ” พล.อ.ณัฐพล กล่าว
ทั้งนี้ พล.อ.ณัฐพล ชี้แจงเพิ่มเติมในช่วงการตอบคำถามจากผู้สื่อข่าว โดยในประเด็นเรื่องข่าวปลอม หรือเฟกนิวส์ที่สร้างความแตกแยกระหว่างสองฝ่ายนั้น ปัจจจุบันถือว่าลดลงไปมาก และหากยังมีอยู่ก็จะมีการแจ้งต่อคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว หรือ IOT ต่อไป
ส่วนแนวทางการเปิดด่านนั้น พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ไม่ใช่การเปิดให้ผ่านโดยเสรี แต่จะเปิดให้เฉพาะการขนส่งสินค้าผ่านแดนเท่านั้น คนยังผ่านไม่ได้ และอาจเปิดโดยมีการจำกัด เช่น จำนวนที่จะขนส่งผ่านได้ในแต่ละวัน หรืออนุมัติให้เป็นรายกรณี ทั้งนี้ เนื่องจากเรื่องการขนส่งสินค้าผ่านแดนมีประเทศที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่เงขาไม่ได้มีส่วนในความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาเลย