xs
xsm
sm
md
lg

ส่อร้าง! “เสี่ยเฮ้ง-ดร.แด๊ก-เสธ.หิ” ทิ้ง รทสช. เหลือ “พีระพันธุ์”เฝ้าพรรค ** “อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์” ว่าที่ รมว.พลังงาน กับวิสัยทัศน์ เรื่องแหล่งก๊าซ ที่เกาะกูด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว


++ ส่อร้าง! “เสี่ยเฮ้ง-ดร.แด๊ก-เสธ.หิ” ทิ้ง รทสช. เหลือ “พีระพันธุ์”เฝ้าพรรค

แววพรรคร้างเริ่มออก สำหรับพรรค “ดีเอ็นเอ ลุงตู่” รวมไทยสร้างชาติ หรือ รทสช. เมื่อเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า แกนนำพรรค ได้ตัดสินใจออกไปแล้วอย่างน้อย 3 ราย

รายแรกคือ “เสี่ยเฮ้ง - สุชาติ ชมกลิ่น” อดีตรองหัวหน้าพรรค ที่ลาออกจากทั้ง สส.บัญชีรายชื่อและสมาชิกพรรค เพื่อเตรียมตัวไปรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ควบรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ใน “ครม.อนุทิน 1” ที่คาดว่าจะลงตัวสะเด็ดน้ำในไม่กี่วันข้างหน้า


รายต่อมาคือ “ดร.แด๊ก - ธนกร วังบุญคงชนะ” ที่ลาออกจากการเป็น สส.บัญชีรายชื่อและสมาชิกพรรค เช่นเดียวกัน เพื่อเตรียมตัวไปนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในครม.ชุดใหม่

และรายที่ 3 ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็น “เสธ.หิ” ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ อดีตผู้อำนวยการพรรคนั่นเอง ที่เมื่อวานได้ออกมาโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก เปิดใจยอมรับว่า ได้ย้ายจากพรรครวมไทยสร้างชาติ ไปร่วมงานกับพรรคกล้าธรรม ตามที่เป็นข่าวจริง

โดยได้ตัดสินใจลาออกจากผู้อำนวยการพรรค รทสช. พร้อมได้แจ้ง “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” หัวหน้าพรรคทราบ ตั้งแต่วันที่ 3 ส.ค.68 ที่ผ่านมา และได้ส่งมอบงานผู้ช่วย ผอ.พรรคทั้งสองคนเรียบร้อยแล้ว

สาเหตุ ที่ลาออก “เสธ.หิ” ยอมรับว่า มีปัญหาการประสานงานที่กลายเป็นประสานงากับ “คีย์แมนท่านหนึ่ง” ของพรรค ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในพรรค และ “หัวหน้าพีระพันธุ์” ให้ความไว้วางใจ และเชื่อใจเป็นอย่างมาก ว่ากันว่าคีย์แมนผู้นั้นก็คือ “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” เลขาธิการพรรค นั่นเอง!


เพราะฉะนั้น เพื่อประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย “เสธ.หิ” จึงขอลาออกเพื่อให้คีย์แมนท่านนั้น ได้เตรียมหาคนมาร่วมงานใหม่ต่อไป
ส่วนที่เลือกไปร่วมงานกับพรรค “กล้าธรรม” นั้น “เสธ.หิ” บอกว่า เป็นไปตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับ “ผู้กองนัส - ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ตอนที่ต้องตาม“ผู้ใหญ่ผู้มีพระคุณ” มาทำงานการเมือง ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ

แล้วในปัจจุบัน “ผู้มีพระคุณ” ท่านนี้ของ “เสธ.หิ” ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองแล้ว และสถานการณ์ปัจจุบัน ถือว่าเข้าสู่ช่วงเตรียมการเลือกตั้ง จึงเป็นช่วงเวลาที่จะต้องกลับมาช่วยงาน“ผู้กองธรรมนัส” ตามที่ได้รับปากไว้

การหายไปของทั้ง 3 แกนนำ รทสช. นับว่าสร้างความหวั่นไหวให้กับคนที่ยังอยู่ในพรรคกันพอสมควร


“เสี่ยเฮ้ง” นั้น เป็นที่ทราบกันดีว่า คือตัวแทนของ “นายทุนพรรค” ที่เคยส่งน้ำเลี้ยงค้ำจุนการบริหารงานมาพรรคมาตลอด
เมื่อ “เสี่ยเฮ้ง” ไม่อยู่ พรรครทสช.ก็ไม่ต่างจากต้นไม้ที่นับวันจะเหี่ยวเฉา และแห้งตายในที่สุด หากไม่สามารถหานายทุนคนใหม่มาทดแทน

ส่วน “ดร.แด๊ก” อดีตหัวหน้าทีมโฆษกรัฐบาล และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล “ลุงตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นั้น ก็เป็นตัวแทนของ “ลุงตู่” ผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรค

เมื่อ “ดร.แด๊ก”ไม่อยู่ ฉายา “พรรคดีเอ็นเอ ลุงตู่” ก็คงจะจบสิ้นลงเพียงเท่านี้

ส่วน “เสธ.หิ” นั้นในช่วงที่ผ่านมา ในฐานะผู้อำนวยการพรรค และในฐานะที่ปรึกษารองนายกฯและรมว.พลังงาน ได้ทำหน้าที่ปกป้อง “หัวหน้าพีระพันธุ์” อย่างแข็งขัน มาโดยตลอด


ทั้งตอนที่ “เสี่ยเฮ้ง” บีบ“พีระพันธุ์” ออกจากหัวหน้าพรรค และพาสส.ออกไปตั้งกลุ่มของตัวเองในนาม“กลุ่ม16”

และตอนที่ “แรมโบ้ - เสกสกล อัตถาวงศ์” ผู้ก่อตั้งพรรค เรียกร้องให้ปรับ “พีระพันธุ์”ออกจาก ครม.แพทองธาร ชินวัตร ก็ได้ “เทือกเขาหิมาลัย” นี่แหละ คอยปกป้องภยันอันตรายไม่ให้มากล้ำกราย “หัวหน้า พีระพันธุ์”

แต่เมื่อ “เสธ.หิ”ไม่อยู่ ใครจะทำหน้าที่นี้

ส่วน “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” เลขาธิการพรรค ที่ยังไม่ชัดเจนว่าจะออกจากพรรคไปไหน ก็ไม่ใช่เนื้อเดียวกันกับกลุ่มของ “หัวหน้าพีระพันธุ์” อีกต่อไป

แถม “เสี่ยเฮ้ง” ยังเคยแฉว่า“เอกนัฏ” นี่แหละตัวการมาชวนให้เขาร่วมมือล้มหัวหน้าพรรค!

ดูจากการโหวตเลือกนายกฯครั้งล่าสุด ที่ สส.รทสช.ในกลุ่มของ “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” ได้ยกมือโหวตให้“อนุทิน”เป็นนายกฯเช่นเดียวกับกลุ่มของ “เสี่ยเฮ้ง” รวมกันแล้ว 33 เสียง

ส่วน สส.กลุ่มของ “พีระพันธุ์” ที่ลงมติงดออกเสียงมีเพียง 3 คนเท่านั้น

เท่านี้ก็เห็นชัดเจนแล้วว่า “หัวหน้าพีระพันธุ์” กำลังอยู่ในสภาพโดดเดี่ยวขนาดไหน.


++ “อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์” ว่าที่ รมว.พลังงาน กับวิสัยทัศน์ เรื่องแหล่งก๊าซ ที่เกาะกูด

หนึ่งในว่าที่รัฐมนตรี ที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี พามานั่งกินกาแฟ เปิดตัวกับผู้สื่อข่าวแบบไม่ต้องเดา ต้องลุ้น กันให้วุ่นวาย คือ “อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์” ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในโควตาคนนอก

“อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์” หรือ “โด่ง” อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เรียกว่าเป็น “มืออาชีพ” ด้านพลังงานโดยตรง

เกิดเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2508 ปัจจุบันมีอายุ 60 ปี จบปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ปริญญาโท เศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ล Diploma of Petroleum Management, College of Petroleum Studies, Oxford University, UK (ได้รับทุนการศึกษาจาก British Council)
ประวัติการทำงาน แทบจะเรียกได้ว่า อยู่กับปตท. มาครึ่งค่อนชีวิต ผ่านมาแล้วทั้งงานด้านการตลาด การบริหารบุคคล เป็น ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สื่อสารองค์กรและกิจการเพื่อสังคม, ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่การตลาดพาณิชย์และต่างประเทศ , ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่การตลาดขายปลีก , รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารความยั่งยืนและวิศวกรรมโครงการ , รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจน้ำมัน , ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย และรักษาการแทนรองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารกลยุทธ์กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย , ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย , สุดท้ายขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุด คือ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. หรือ ซีอีโอ ปตท.
ในยุคที่ “ประเสริฐ บุญสัมพันธ์” เจ้าของฉายา มือประสานสิบทิศ เป็น ซีอีโอปตท. ก็จะเห็น “อรรถพล” ตามติดเป็นเงา จึงได้ซึมซับ วิชามือประสานสิบทิศ ติดตัวมาด้วย

ดังนั้นเรื่องคอนเนกชัน กับคนในภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน รวมทั้งภาคการเมือง นั้นไม่ต้องห่วง

ว่ากันว่า การได้เข้ามาเป็น ว่าที่ รมว.พลังงาน ครั้งนี้ นอกจากความเห็นชอบของ “อนุทิน” แล้ว ยังได้แรงหนุนจากทุนพลังงาน เปิดไฟเขียวให้ด้วย

และอาจจะเป็นด้วยวิสัยทัศน์ ของ “อรรถพล” ในช่วงที่เป็น ซีอีโอ ปตท. ต่อการจัดการแหล่งก๊าซทางทะเล ในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ที่บริเวณเกาะกูด จึงทำให้ยิ่งรู้สึกว่ามีคุณสมบัติเข้าตาของทุนพลังงาน

“อรรถพล” พูดใน งานสัมมนาด้านพลังงานประจำปี ระดับประเทศ “THAILAND ENERGY EXECUTIVE FORUM” ช่วงเสวนาเรื่อง "ทิศทางพลังงานไทยปี 2567" ถึงกรณีข้อพิพาท พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา ว่าในมุมของเขาว่า ปตท. มีโมเดลให้ศึกษาเป็นตัวอย่างได้ เช่น พื้นที่ไทย-มาเลเซีย ซึ่งเรื่องการแบ่งดินแดนนั้น ไม่น่าจะสรุปได้ เพราะว่า การแบ่งพื้นที่แม้แต่ตารางนิ้วเดียว ก็ต้องมีปัญหา

แต่หากมาหารือกันแค่เรื่องของวัตถุดิบที่อยู่ใต้ดิน ก็น่าจะเป็นเรื่องที่หารือกันได้ไม่ยาก ว่าจะมาแบ่งกันอย่างไร เพราะประเทศไทยมีท่อก๊าซ และโครงสร้างพื้นฐานใกล้ๆ พื้นที่ทับซ้อนอยู่แล้ว การที่จะขุดเจาะและนำขึ้นมาใช้ก็ง่าย และหากจะมีการส่งไปยังกัมพูชา ก็สะดวกเช่นกัน

"โมเดลที่จะนำวัตถุดิบขึ้นมาใช้ รวมถึงพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และให้กัมพูชามาลงทุนกับไทยได้ เพื่อแบ่งส่วนแบ่ง 50% ที่จะเป็นของกัมพูชาไปก็ได้ โดยต้องยอมรับว่าโมเดลทางด้านธุรกิจนั้น ไม่ยากเลย แต่ทางด้านการเมือง ก็ยังน่าเห็นใจ พูดตรงๆ เลยว่าที่มีปัญหากัมพูชาไม่น่าจะมี มีแต่ในประเทศไทยนี่แหละที่มีการพูดเรื่องนี้ตลอด เดี๋ยวก็หาว่าขายชาติบ้าง ซึ่งน่าจะต้องลดในส่วนดังกล่าวนี้ เพื่อให้เกิดข้อสรุป จะได้ไม่เกิดปัญหา"

วิสัยทัศน์ของ “อรรถพล” ในเรื่องนี้ ไม่ต่างจาก “ทักษิณ ชินวัตร” เลย คือจะเก็บเรื่องดินแดน เรื่องอธิไตยของชาติ ใส่ลิ้นชักไว้ก่อน แล้วมาพูดถึงเรื่องผลประโยชน์อย่างเดียว แบ่งกัน 50-50 กับเขมร ทั้งๆ ที่บริเวณนั้น เป็นน่านน้ำของไทย แต่ เขมร มั่วนิ่มใช้วิธีลากเส้นจากไหล่ทวีป ขัดหลักสากล ผ่ากลางเกาะกูด แล้วมาอ้างว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน เพื่อขอแบ่งผลประโยชน์

พูดถึงเรื่องแหล่งก๊าซทางทะเล ทำให้นึกถึงคำพูดของ “ไชยชนก ชิดชอบ” เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ในช่วงที่เป็นฝ่ายค้าน เมื่อเดือนก่อน ประกาศว่าจะต้องยกเลิก “เอ็มโอยู 43-44” เพราะได้ศึกษามาเป็นอย่างดีแล้วว่า ทำให้ไทยเสียเปรียบเรื่องดินแดน ทั้งทางบก ทางทะเล เพราะใช้แผนที่คนละฉบับ คนละมาตราส่วน

ตอนนี้ พรรคภูมิใจไทยได้เป็นรัฐบาลแล้ว หากมีความตั้งใจจริงที่จะรักษาผลประโยชน์ของชาติ ก็สามารถนำเข้าที่ประชุมครม. ใช้มติครม. “ยกเลิกได้เลย” ไม่ต้องตั้งคณะกรรมาธิการมาศึกษาให้เสียเวลา

มาดูกันว่า ในช่วง 4 เดือนที่ “รัฐบาลอนุทิน” บริหารงานก่อนยุบสภานั้น จะยกเลิก“เอ็มโอยู 43-44” ก่อนหรือไม่ หรือ “อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์” ในฐานะ รมว.พลังงาน จะรีบเสนอเรื่องบริหารจัดการแหล่งก๊าซในอ่าวไทยเป็นวาระเร่งด่วน!


กำลังโหลดความคิดเห็น