สว.รับหลักการร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วม กมธ.คมนาคม เสนอเพิ่มสภาองค์กรผู้บริโภค-ผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการนโยบาย เปิดทางคนรุ่นใหม่ร่วมกำหนดทิศทาง พร้อมย้ำต้องเข้มงวดคุณสมบัติผู้ขอใบอนุญาต ป้องกันผูกขาด-ผลประโยชน์ทับซ้อน
วันนี้ (8 ก.ย.) เมื่อเวลา 09.42 น. ในการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 16 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง ที่มี นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. ... ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบแล้ว ที่เป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน วุฒิสภา ต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ร่างพระราชบัญญัติมาถึงวุฒิสภา ซึ่งจะครบกำหนด 30 วัน ในวันอังคารที่ 30 กันยายน 2568
โดย นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร สว. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา กล่าวนำเสนอผลงานศึกษาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งมีข้อสังเกต ข้อเสนอแนะ และความเห็นของคณะกรรมาธิการ ดังนี้ 1. ตามร่างมาตรา 5 เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายระบบตั๋วร่วม โดยเพิ่มประธานสภาองค์กรของผู้บริโภคเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง อีก 1 ตำแหน่ง เนื่องจากสภาองค์กรของผู้บริโภคมีการกิจด้านการคุ้มครองผู้บริโภคโดยตรง และเพิ่มจำนวนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจาก 3 คน เป็น 5 คน เนื่องจากจำนวนที่กำหนดไว้เดิมเห็นว่าน้อยเกินไป
2. ตามร่างมาตรา 6 เห็นควรปรับแก้คุณสมบัติเรื่องอายุขั้นต่ำของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ให้สอดกล้องกับบทบัญญัติของกฎหมายอื่นที่ปรับคุณสมบัติด้านอายุขั้นต่ำให้ลดลง เช่น มาตรา 160 ประกอบมาตรา 159 แห่งรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2560 ที่กำหนดอายุขั้นต่ำของนายกรัฐบนตรีไว้ที่ 35 ปี อีกทั้งยังยังเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น
3. การพิจารณาผู้ขอรับใบอนุญาตตามร่างมาตรา 18 เห็นควรกำหนดให้มีการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ขอรับใบอนุญาตอย่างละเอียดรอบคอบ โดยเฉพาะด้านสถานะทางการเงินและความมั่นคงในการประกอบธุรกิจ เพื่อป้องกันมิให้เกิดผลกระทบหรือความเสียหายต่อภาครัฐ
4. การส่งเสริมการแข่งขัน และการป้องกันการผูกขาด ควรให้ความสำคัญกับการสนับสนุนผู้ประกอบการรายใหม่ และการพัฒนาระบบเทคโนโลยีเพื่อรองรับการชำระเงินทางอิเล็กกรอนิกส์ (E-PAYMENT) โดยให้เกิดการผูกขาด ทั้งนี้ การกำหนดอัตราทุนจดทะเบียนในมูลค่าสูง และต้องชำระเต็มจำนวน อาจเป็นข้อจำกัดต่อการปฏิบัติและข้อต่อวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมการแข่งขันทางธุรกิจ
5. ตามร่างมาตรา 19 (5) เกี่ยวกับลักษณะต้องห้ามของกรรมการหรือผู้มีอำนาจจัดการของนิติบุคคลที่เคยถูกเพิกถอนการอนุญาต เห็นว่าการกำหนดระยะเวลาเพียง 1 ปี ในการกลับมาดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการอีกครั้งไม่เหมาะสม ควรกำหนดให้มีระยะเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี เพื่อความโปร่งใส ป้องกันผลประโยชน์กับซ้อน และให้สอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางร่าง พ.ศ. ...
“แนวทางการบังคับใช้กฎหมาย คือ ภาคสมัครใจกับผู้ประกอบการปัจจุบัน หากต้องการเข้าสู่ระบบตั๋วร่วมและต้องการได้รับสนับสนุนจากองทุนต้องขอรับใบอนุญาต แต่หากไม่ประสงค์เข้าสู่ระบบตั๋วร่วม สามารถดำเนินการได้ตามเดิม แต่ไม่มีสิทธิรับสนับสนุนจากกองทุน ทั้งนี้เมื่อกฎหมายบังคับใช้ หน่วยงานรัฐต้องทำมาตรฐานเทคโนโลยีของระบบตั๋วร่วมเป็นเงื่อนไขสัญญาสัมปทาน สำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ทุกราย แต่กรณีที่พิจารณาแล้วเห็นว่ามีความจำเป็นให้ระบบขนส่งสาธารณะต้องใช้ระบบตั๋วร่วมและต้องได้รับใบอนุญาตให้สามารถออกพระราชกฤษฎีกา” นายวุฒิชาติ กล่าว
สำหรับการอภิปรายของ สว. มีทิศทางสนับสนุนการออกกฎหมายดังกล่าว พร้อมเสนอแนะให้นำการดำเนินการพัฒนาระบบตั๋วร่วมจากต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จมาพิจารณากำหนดเป็นกฎหมายเพื่อให้การปฏิบัติเกิดประโยชน์กับประชาชน และมีประสิทธิภาพต่อการบริการ และยังเสนอแนะให้เพิ่มความสะดวกให้ประชาชนในการใช้บริการ เช่น การจ่ายเงินผ่านระบบคิวอาร์โค้ด เป็นต้น
นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว. อภิปรายสนับสนุน และเสนอแนะว่า นโยบาย 20 บาทตลอดสายที่รัฐบาลชุดที่แล้วประกาศจะทำให้ได้ภายในเดือน พ.ย. นี้ ซึ่งการกำหนดเวลาดังกล่าวเพื่อคะแนนนิยมทางการเมือง แต่เมื่อพิจารณาแล้วอาจทำไม่ทัน และภายใน 4 เดือนของนายกฯคนใหม่ตนกังวลว่าจะทำทันหรือไม่ หากทำไม่ทันต้องยืดเป็นกาารเลือกตั้งสมัยหน้า อย่างไรก็ดี เพื่อความรวดเร็วในการพิจารณาประสิทธิภาพของการทำกฎหมายรวมถึงไม่ทำให้กฎหมายที่ต้องใช้ร่วมกันกับระบบตั๋วร่วม 3 ฉบับ ควรเป็น กมธ.ชุดเดียวกันเพื่อให้ไม่มีปัญหาต่อการปฏิบัติ และทำนโยบาย 20 บางตลอดสายทำได้จริง
ขณะที่ นายอลงกต วรกี สว. อภิปรายว่าการตั้งกองทุนสำหรับตั๋วร่วม ควรพิจารณาการจัดสรรงบเพื่อให้ดึงเป็นรายได้ของประชาชนในระบบ
จากนั้นที่ประชุมได้ลงมติรับหลักการเสียงเอกฉันท์ 155 เสียง พร้อมตั้ง กมธ.วิสามัญพิจารณา ภายใน 30 วันนับ แต่ที่รับร่างพ.ร.บ.มาถึงวุฒิสภา ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 30 ก.ย. นี้