วันนี้(6 ก.ย.)นายอัครแสนคีรี โล่ห์วีระ สส.ชัยภูมิ เขต 7 พรรคกล้าธรรม (กธ.) เปิดเผยว่า ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรสัปดาห์ที่ผ่านมา ตนและ สส.พรรคกล้าธรรม ได้ร่วมเสนอร่างพระราชบัญญัติอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน พ.ศ. …. ควบคู่ไปกับร่างที่ สส.พรรคการเมืองอื่นเสนอ เพื่อให้ที่ประชุมสภาฯ พิจารณาตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษา
นายอัครแสนคีรี กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้แม้อาจดูเล็ก แต่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเกี่ยวข้องกับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) กว่า 1.04 ล้านคนทั่วประเทศ ซึ่งตลอดกว่า 40 ปีที่ผ่านมา อสม.ถือเป็น “หมอคนแรกของประชาชน” ที่อุทิศแรงกายและเวลาเพื่อดูแลสุขภาพของชุมชน โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา อสม.มีบทบาทสำคัญในการคัดกรองผู้ป่วย แจกหน้ากาก ส่งอาหารและผู้ป่วยเข้าสู่ระบบรักษา จนสามารถประคับประคองระบบสาธารณสุขไม่ให้ล่มสลาย
ทั้งนี้ ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ โดยปัจจุบันมีผู้สูงอายุประมาณ 20% ของประชากรทั้งหมด และคาดว่าในปี 2573 จะเพิ่มขึ้นถึง 30% หรือราวหนึ่งในสามของประเทศ แต่บุคลากรทางการแพทย์กลับไม่เพียงพอ โดยไทยมีแพทย์เฉลี่ยเพียง 0.6 คนต่อประชากร 1,000 คน ต่ำกว่ามาตรฐานองค์การอนามัยโลกที่แนะนำไว้ที่ 1 คนต่อประชากร 1,000 คน การยกระดับบทบาทของ อสม. จึงเป็นคำตอบสำคัญที่จะช่วยแบ่งเบาภาระบุคลากรทางการแพทย์
สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.อสม. ประกอบด้วย การจัดตั้งคณะกรรมการทุกระดับเพื่อกำหนดนโยบายและทิศทางการพัฒนา กำหนดคุณสมบัติ หน้าที่ และมาตรฐานจริยธรรมของ อสม. การจัดตั้งกองทุน อสม. เพื่อสนับสนุนสวัสดิการ ค่าป่วยการ การอบรม และกิจกรรมชุมชน รวมถึงการรับรองสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เช่น ค่าป่วยการรายเดือน สิทธิรักษาพยาบาล สิทธิด้านการศึกษา และการได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติ
“หาก อสม. ได้รับการสนับสนุนด้านความรู้ เครื่องมือ สวัสดิการ และสิทธิที่มั่นคง จะสามารถดูแลประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะผู้สูงอายุในชนบท ขณะเดียวกันบุคลากรทางการแพทย์ก็จะมีเวลามากขึ้นในการดูแลผู้ป่วยหนัก ทำให้ระบบสาธารณสุขโดยรวมมีเสถียรภาพและประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”นายอัครแสนคีรี กล่าว
ทั้งนี้ ที่ประชุมสภาฯ มีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติอสม. รวม 7 ฉบับ และตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญจำนวน 31 คน เพื่อศึกษาในรายละเอียด พร้อมกำหนดระยะเวลาแปรญัตติภายใน 15 วัน