ในอดีต หากประชาชนถูกละเมิดสิทธิหรือเผชิญความเดือดร้อนจากการปฏิบัติของหน่วยงานรัฐ หลายคนไม่รู้ว่าจะต้องไปที่ใด ระหว่าง “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” หรือ “อัยการสูงสุด” ยิ่งซ้ำเติมความยุ่งยากของประชาชนที่เดือดร้อนที่ต้องเดินเรื่องซ้ำซ้อน เสียทั้งเวลาและโอกาสได้รับการช่วยเหลือ
เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2568 สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน (สผผ.) นำโดย นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน และสำนักงานอัยการสูงสุด นำโดย นายไพรัช พรสมบูรณ์ศิริ อัยการสูงสุด จึงได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ด้านการช่วยเหลือทางกฎหมาย และแก้ไขความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมของประชาชน เพื่อวางรากฐานระบบการทำงานใหม่ ที่ประชาชนเข้าถึงความยุติธรรมได้ง่าย รวดเร็ว และไม่ซ้ำซ้อน
นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มีหน้าที่หลักคือการแก้ไขความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมของประชาชนอันเนื่องมาจากการปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ใน 3 กรณี ได้แก่ 1) กฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง หรือขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรม หรือเป็นภาระแก่ประชาชนโดยไม่จำเป็นหรือเกินสมควรแก่เหตุ 2) การไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือปฏิบัตินอกเหนือหน้าที่และอำนาจตามกฎหมาย และ 3) การปฏิบัติไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญ ในขณะที่สำนักงานอัยการสูงสุด โดยสำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัด (สคชจ.) มีหน้าที่สำคัญในการเผยแพร่ความรู้และให้คำปรึกษาปัญหากฎหมายแก่ประชาชน
✦ บทบาทของทั้งสองหน่วยงานที่เสริมกัน
▪ ผู้ตรวจการแผ่นดิน : รับเรื่องร้องเรียน แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมของประชาชนที่อาจเกิดจากหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ
▪ สำนักงานอัยการสูงสุด : โดยเฉพาะ “สำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัด (สคชจ.)” มีหน้าที่เผยแพร่และฝึกอบรมความรู้ทางกฎหมาย และให้คำปรึกษาปัญหากฎหมายแก่ประชาชน
ที่ผ่านมา ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลที่ได้รับความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรม และมีปัญหาข้อกฎหมายไปขอรับคำปรึกษาและแนะนำจาก สคชจ. หลายราย พบว่าภายหลังจากได้รับคำปรึกษาและแนะนำจาก สคชจ. แล้ว ไม่ได้ไปดำเนินการยื่นเรื่องร้องเรียนต่อยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาจจะเนื่องมาจากมีข้อจำกัดในการเขียนคำร้อง หรือการยื่น
คำร้องเรียน ทำให้ปัญหาความเดือดร้อนที่มีอยู่ไม่ได้รับการแก้ไข ดังนั้น การร่วมมือกันของทั้งสองหน่วยงานนี้จึงเข้ามาเชื่อมระบบการทำงานและปิดช่องว่างระหว่างสองหน่วยงาน
✦ จุดเปลี่ยนด้วย “ระบบส่งต่อดิจิทัล”
หัวใจสำคัญของ MOU คือ “ระบบส่งต่อเรื่องร้องเรียน/ข้อมูล ผ่านระบบดิจิทัล” --
ในส่วน สคชจ. และ สคชจ. (สาขา) ในจังหวัดต่าง ๆ กรณีประชาชนที่มาปรึกษาและขอคำแนะนำ ได้รับความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมจากการปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งอยู่ในหน้าที่และอำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินที่จะดูแลแก้ไข และผู้เดือดร้อนต้องการจะยื่นเรื่องร้องเรียนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ของ สคชจ. หรือ สคชจ. สาขา ในการแนะนำด้านการเขียนคำร้องเรียน พร้อมส่งเรื่องร้องเรียนไปยังผู้ตรวจการแผ่นดิน ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของสำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือประชาชนได้จนสุดทาง คือ สามารถส่งคำร้องเรียนไปยังผู้ตรวจการแผ่นดิน ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาบรรเทาความเดือดร้อนนั้นได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เป็นการช่วยลดความเหลื่อมล้ำของประชาชนในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมหรือการอำนวยความเป็นธรรม
ในส่วนสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน – กรณีประชาชนมายื่นเรื่องร้องเรียนหรือปรึกษาข้อกฎหมาย และพบว่าอยู่ในขอบเขตหน้าที่ของ สคชจ. เจ้าหน้าที่ของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน จะให้คำแนะนำทางกฎหมายโดยการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับ สคชจ. เกี่ยวกับการร้องขอความช่วยเหลือ ทางกฎหมายแก่ประชาชนผ่านระบบออนไลน์ของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินแบบเรียลไทม์เช่นกัน ลดทั้งขั้นตอนและเวลารอคอย โดยยังคงความปลอดภัยและรักษาความลับข้อมูลอย่างเข้มงวด
✦ กรอบความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม
1. แก้ปัญหาความเดือดร้อนและคุ้มครองสิทธิ – รับเรื่อง ร่วมตรวจสอบ และส่งต่ออย่างมีประสิทธิภาพ
2. ระบบดิจิทัลส่งต่อเรื่องร้องเรียน ลดขั้นตอน
3. มุ่งพัฒนาบุคลากร–เผยแพร่ความรู้ – อบรม แลกเปลี่ยน และจัดสัมมนาร่วมกัน
4. สร้างเครือข่ายธรรมาภิบาล – ลงพื้นที่ห่างไกล ให้ประชาชนรู้จักสิทธิทางกฎหมาย
5. ความร่วมมือทางวิชาการ – ศึกษาแนวปฏิบัติที่ดี ยกระดับการวิจัย และพัฒนานโยบายใหม่ ๆ เพื่อยกระดับการ
ปฏิบัติหน้าที่ตามภารกิจให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
✦ ประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ
▪เข้าถึงความยุติธรรมได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะยื่นที่ใด
▪ ลดความซ้ำซ้อน ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย
▪ ได้รับคำปรึกษาจากนักกฎหมายมืออาชีพ
▪ กลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้พิการ หรือประชาชนในพื้นที่ห่างไกล ได้รับความช่วยเหลือเชิงรุก
ด้านนายไพรัช พรสมบูรณ์ศิริ อัยการสูงสุด กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างสององค์กรได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2549 เมื่อครั้งสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินยังคงมีสถานะเป็น “สำนักงานผู้ตรวจแผ่นดินของรัฐสภา” และแม้ภายหลังได้เปลี่ยนสถานะเป็น “สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน” การทำงานร่วมกันด้านการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนก็ยังคงสืบเนื่องอย่างมั่นคงเสมอมา
อัยการสูงสุด กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายใต้การบริหารจัดการภาครัฐในยุคปัจจุบัน จำเป็นต้องบูรณาการการทำงานให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ โดยนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารจัดการข้อมูล เพื่อสร้างความโปร่งใส รวดเร็ว เชื่อมโยงข้อมูลถึงกัน และเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง สำนักงานอัยการสูงสุดจึงได้พัฒนาระบบการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม “อัยการช่วยได้”
ซึ่งสามารถเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลการร้องเรียน การร้องขอความช่วยเหลือ การจัดการปัญหา รวมถึงหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม และหน่วยงานที่มีหน้าที่คุ้มครองสิทธิเสรีภาพและช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงความยุติธรรมได้อย่างรวดเร็ว สะดวก และมีมาตรฐานสากลมากยิ่งขึ้น
นายสมศักดิ์ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวย้ำว่า ความร่วมมือนี้คือ “ก้าวสำคัญในการเชื่อมโยงภารกิจของสองหน่วยงานผ่านระบบดิจิทัลและการบูรณาการด้านบุคลากร” รวมถึงเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนทั่วประเทศ กรณีประสบความเดือดร้อน หรือความไม่เป็นธรรม จะมีสำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัด (สคชจ.) เป็นผู้ให้คำปรึกษาแนะนำและส่งต่อเรื่องร้องเรียนไปยังสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบการแก้ไขความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมของประชาชน” นายสมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย