วันนี้ (28 ส.ค.) น.ส.ภิญญาพัชญ์ ศันสนียชีวิน สมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวถึงปัญหาบัญชีม้า ว่า ในปัจจุบันกำลังสร้างความเดือดร้อนแก่พี่น้องประชาชนจำนวนมาก สะท้อนถึงช่องว่างทั้งในด้านกฎหมาย การบังคับใช้ และมาตรการคุ้มครองผู้บริสุทธิ์ วันนี้ตนอยากจะเน้นย้ำถึงผู้บริสุทธิ์ที่ยังมีลมหายใจ แต่กลับถูกผลักให้กลายเป็นผู้ต้องหา ซึ่งปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ทุกรูปแบบ สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของการกระทำผิด คือบัญชีม้า หรือบัญชีธนาคารที่มิจฉาชีพใช้ในการโอน รับ และฟอกเงิน เพื่อปกปิดตัวตนที่แท้จริง ผลคือผู้ที่มีชื่อเป็นเจ้าของบัญชีต้องตกเป็นผู้ต้องหา ถูกดำเนินคดี แม้ว่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการกระทำผิด
“อย่างนายเอยื่นกู้ในแอปพลิเคชันออนไลน์ ต้องส่งข้อมูลบัตรประชาชนและเอกสารส่วนตัว และมีการยืนยันตัวตนใบหน้าเพื่อใช้ในการกู้เงิน ปรากฏว่าข้อมูลเหล่านี้ถูกนำไปเปิดบัญชีธนาคาร โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่อง ไม่เคยได้รับบัตร ไม่เคยทำธุรกรรมใด ๆ แต่เมื่อเกิดการหลอกลวงประชาชนรายอื่นผ่านบัญชีดังกล่าว นายเอกลับต้องเผชิญกับหมายเรียก ต้องไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ทั้งที่ตนเองก็ตกเป็นเหยื่อเช่นกัน” น.ส.ภิญญาพัชญ์ กล่าว
น.ส.ภิญญาพัชญ์ ตั้งคำถามว่า ในกรณีที่ตนยกตัวอย่าง ถือว่ายุติธรรมหรือไม่ ที่ผู้บริสุทธิ์ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นเจ้าของบัญชีม้า ทั้ง ๆ ที่ความจริง เป็นเพียงผู้เสียหายจากการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล
ปัญหานี้มีความซับซ้อน เพราะในด้านหนึ่ง การบังคับใช้กฎหมายเข้มงวดต่อบัญชีม้า มีความจำเป็นเพื่อปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ แต่อีกด้านหนึ่งในทางปฏิบัติ ยังขาดความยืดหยุ่น ไม่แยกแยะระหว่าง ผู้สมรู้ร่วมคิดโดยเจตนากับผู้บริสุทธิ์ที่ถูกนำชื่อไปใช้ จึงทำให้มีคดีความจำนวนมาก ที่ผู้บริสุทธิ์ต้องเสียทั้งเวลา ทรัพย์สิน และชื่อเสียง เพื่อพิสูจน์ตัวเอง
ตนเห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาแนวทางแก้ไข ได้แก่ อันดับแรก ต้องปรับปรุงกลไกการตรวจสอบการเปิดบัญชีธนาคารให้รัดกุมยิ่งขึ้น และบูรณาการฐานข้อมูลบัตรประชาชน ชีวมิติ (Biometric) และระบบแจ้งเตือนให้เจ้าของตัวจริงรับทราบเมื่อมีการเปิดบัญชีใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง
อันดับสอง ต้องมีมาตรการคุ้มครองผู้บริสุทธิ์ โดยการปรับปรุงกฎหมายหรือแนวทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ เช่น ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้ที่อ้างว่าไม่เคยเปิดบัญชี ต้องได้รับการตรวจสอบอย่างเป็นธรรม และหากพบพยานหลักฐานว่าถูกนำข้อมูลไปใช้โดยมิชอบ ต้องมีช่องทางยุติการดำเนินคดีต่อบุคคลนั้นโดยเร็ว เพื่อไม่ให้กระทบต่อสิทธิและชื่อเสียงของประชาชน
อันดับสาม ต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันปัญหาตั้งแต่ต้นทาง โดยการยกระดับความปลอดภัยด้านข้อมูลส่วนบุคคล การควบคุมแอปพลิเคชันเงินกู้ผิดกฎหมายที่มักเป็นต้นทางการเก็บข้อมูล และการรณรงค์ให้ประชาชนรู้เท่าทันภัยออนไลน์อย่างต่อเนื่อง
สุดท้าย ควรจัดให้มีกองทุนเยียวยาผู้เสียหายจากอาชญากรรมไซเบอร์ เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ถูกนำชื่อไปใช้โดยไม่รู้เห็น เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้น ไม่เพียงแต่ทางการเงิน แต่ยังรวมถึงผลกระทบทางจิตใจและการประกอบอาชีพด้วย
“การแก้ไขปัญหาบัญชีม้าไม่สามารถทำได้ด้วยมาตรการปราบปรามเพียงด้านเดียว หากแต่ต้องทำควบคู่กันไป ทั้งมาตรการทางกฎหมาย เทคโนโลยี การสืบสวน และการคุ้มครองสิทธิประชาชน เพื่อไม่ให้ผู้บริสุทธิ์กลายเป็นแพะรับบาป” น.ส.ภิญญาพัชญ์ กล่าว
น.ส.ภิญญาพัชญ์ ย้ำว่า การทำงานในยุคดิจิทัลต้องก้าวให้ทันภัยใหม่ ๆ รัฐบาลควรเร่งพิจารณากำหนดมาตรการเชิงระบบที่ทั้งป้องกัน ควบคุม และเยียวยาได้ครบวงจร ตนขอฝากประเด็นนี้ให้เป็นวาระสำคัญ เพื่อปกป้องสิทธิของพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ และเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีทั้งความเด็ดขาดต่อผู้กระทำผิด และความเป็นธรรมต่อผู้บริสุทธิ์อย่างแท้จริง เพราะความยุติธรรมที่มาช้า คือความอยุติธรรม และความยุติธรรมที่ผิดตัว คือโศกนาฏกรรมซ้ำสอง