ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ กต.แถลงป้อง MOU43 บอกไทยได้เปรียบ ทัวร์ลงสนั่น "ได้เปรียบตรงไหน เสียแผ่นดิน!"
ร้อนระอุจนนั่งไม่ติด! เมื่อกระแสสังคมเรียกร้องให้ยกเลิก MOU 2543 หรือ MOU43 กระทรวงต่างประเทศโดย “เบญจมินทร์ สุกาญจนัจที” อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย พร้อมด้วย “นิกรเดช พลางกูร” อธิบดีกรมสารนิเทศ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดแถลงเพื่อ "แจกแจง" และ "ทำความเข้าใจ" ว่าทำไมกระทรวงฯ ถึงไม่ยอมยกเลิก MOU ฉบับนี้
อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ ยืนยันหนักแน่นว่า ประเทศไทย “ได้เปรียบ” จาก MOU43 เพราะเป็นกติกาที่กำหนดกรอบการปักปันเขตแดน โดยอิงจากสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ตั้งแต่ปี ค.ศ.1904 และ 1907 ซึ่งเป็น "แม่บท" ที่ใช้กันมานานแล้ว และยังเป็นกลไกสำคัญที่บังคับให้ทั้งสองฝ่ายต้องหยุดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในพื้นที่ชายแดน รวมถึงช่วยกันกู้ทุ่นระเบิด เพื่อให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ได้ปลอดภัย
ฟังดูเหมือนจะดีมีเหตุผลตามหลักการเป๊ะๆ เพราะอธิบดีฯ ได้แจกแจงรายละเอียดข้อกฎหมาย และกระบวนการทำงานของคณะกรรมการร่วม หรือ JBC แบบละเอียดยิบ
พร้อมระบุว่า ตอนนี้กลไกนี้ก็กำลังทำงานอยู่ โดยอยู่ระหว่างการสำรวจปักปันหลักเขตแดนที่ยังตกลงกันไม่ได้ อีก 29 จุด
แถมพูดถึงในทำนองยอมจำนนว่า ถ้า"ยกเลิก" ไปก็หนีไม่พ้นแผนที่อัตราส่วน 1: 200,000 อยู่ดี ทั้งๆที่ฝ่ายทหารยึดถือแผนที่ 1:50,000
เรียกว่า อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ พยายามตอบคำถามด้วยคำอธิบายทางวิชาการ และภาษาการทูต ซึ่งสวนทางกับความรู้สึกของประชาชนอย่างสิ้นเชิง
เพราะทันทีที่การแถลงข่าวจบลง "ทัวร์" ก็ลงกระทรวงต่างประเทศ แบบไม่มีเบรก ไม่ว่าจะเป็นในโลกออนไลน์ หรือ บนพื้นที่ข่าวต่างๆ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังสนั่นหวั่นไหว ราวกับฟ้าผ่า
ชาวเน็ตหลายคน พร้อมใจกันสาดคอมเมนต์เจ็บจิ๊ดใส่กระทรวงต่างประเทศไม่ยั้ง
ตั้งคำถามว่า "อวดฉลาดจนเขามายึดแผ่นดิน" หรือ "ได้เปรียบอะไร แผ่นดินเขมรก็เข้ามารุกล้ำ"
ขณะที่บางคนถึงกับลั่นว่า "MOU จัญไรนี้...ไทยไม่ได้อะไร มีแต่เสีย"
และยังมีคอมเมนต์ ที่ย้ำชัด ๆ ว่า "ถ้ามันดีจริง ทำไมเราถึงได้เสียเปรียบมาตั้ง 11 จุด ซึ่งถ้า "บิ๊กกุ้ง" พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ไม่เปิดโปง และทหารหาญที่พลีชีพทวงดินแดนอธิปไตยของเรา ทุกวันนี้คนไทยจะรู้ไหมว่า เขมรมันรุกดินแดนไทยมานานแล้ว !
สรุปคำแถลงของ กระทรวงการต่างประเทศ นอกจากจะไม่ได้ช่วยดับไฟ แต่กลับเป็นเหมือนการราดน้ำมันเข้ากองเพลิง เพราะยิ่งอธิบายมากเท่าไร ก็ยิ่งสร้างคำถามใหม่ๆ ให้กับประชาชนมากขึ้นเท่านั้น
และคำถามสำคัญ ที่ยังคาใจชาวบ้านร้านตลาด ก็คือ...ถ้า MOU ฉบับนี้มันดีนักหนา ทำไมที่ผ่านมา เราถึงรู้สึกว่า "เสียเปรียบ" อยู่ฝ่ายเดียว ?
นี่แหละ คือจุดที่ กต.อธิบายเหตุผลด้วยเอกสารทางกฎหมายไม่ได้...แต่ต้องอธิบายด้วยความรู้สึกของคนในชาติ !
++ ถ้า“อิ๊งค์” รอด เจอซักฟอกซ้ำ แต่ถ้าร่วง! ต้องจับตาเกมชิงเก้าอี้นายกฯ
สัปดาห์นี้สถานการณ์การเมืองไทย กำลังร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทุกฝ่ายกำลังโฟกัสไปที่ วันที่ 29 ส.ค.นี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสิน “คดีคลิปเสียง” ของ “แพทองธาร ชินวัตร” จะออกมาอย่างไร ...จะได้ไปต่อ หรือ พอแค่นี้ !!
ทางฝ่ายของพรรคเพื่อไทย ดูเหมือนจะแสดงออกถึงความมั่นใจ หลังจากที่“ทักษิณ ชินวัตร” รอดคดี 112 เลยพยายามเอามาผูกโยง มโนกันว่า น่าจะมี “ดีล” ที่ทำให้ “แพทองธาร” รอดไปด้วย
ถึงขั้นมีการยืนยันว่า จะไม่มีการลาออกก่อนวันที่ศาลฯตัดสินแน่นอน
ขณะที่ฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะคนของ “พรรคส้ม” เห็นว่ารอดยาก และหาก“แพทองธาร” เพิ่งจะมาคิดลาออกเอาตอนนี้ ก็ไม่ได้เป็นการการลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อประชาชน ... แต่เป็นการลาออก เพื่อเอาตัวรอด!!
“พริษฐ์ วัชรสินธุ” ส.ส.บัญชีรายชื่อ โฆษกประชาชน บอกว่าถ้าศาลฯวินิจฉัยให้ “แพทองธาร” พ้นจากตำแหน่ง ก็จะเข้าสู่กระบวนการเลือกนายกฯคนใหม่ แต่ถ้าศาลฯ วินิจฉัยให้อยู่ต่อ เรื่องจะกลับมาอยู่ที่กลไกในสภาผู้แทนฯ
ตอนนี้แหละ ฝ่ายค้านก็จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 หรือ อภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 ขยี้ซ้ำ !!
เมื่อถึงเวลานั้น คนของ“พรรคส้ม” จะอภิปรายดุเดือดแค่ไหนไม่รู้ แต่คนของ“พรรคน้ำเงิน” น่าจะไม่ยั้งมือ ไม่ไว้ไมตรี
คราวนี้ลองมาดูในมุมที่ “อิ๊งค์” ไม่รอด ก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ตามรายชื่อ “แคนดิเดตนายกฯ” ที่ยังเหลืออยู่ในตะกร้า
แม้ว่าการเลือกนายกฯใหม่ จะเป็นเรื่องของสภาผู้แทนฯ ซึ่งดูเหมือนง่ายหากแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเดิม คือพรรคเพื่อไทย สามารถคุมเสียงข้างมากในสภาฯได้
แต่ในสถานการณ์จริงแล้ว พรรคเพื่อไทยย่อมรู้ดีว่า ช่วงเวลานั้นไม่ต่างอะไรกับช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในการฟอร์มรัฐบาล ชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
ที่สำคัญ “พรรคของทักษิณ” เคยมีบทเรียนมาแล้ว เมื่อครั้งที่ใช้ชื่อ “พรรคพลังประชาชน” แล้วถูกยุบพรรคไปเมื่อปี 2551 ทักษิณ เตรียมดันชื่อ “พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก” เป็นนายกรัฐมนตรี แต่“ส.ส.กลุ่มเพื่อนเนวิน” ตัดสินใจหันหลังให้นายใหญ่ บอก“มันจบแล้วครับนาย” ว่าแล้วก็หันไปกอดเอว อุ้ม “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี
ดังนั้นในตอนนี้ “ทักษิณ” จึงประกาศชัดว่า ถ้า “อิ๊งค์” ไม่ได้ไปต่อ ก็ยังมี “ชัยเกษม นิติสิริ” แคนดิเดตนายกฯคนสุดท้ายของพรรค จะขึ้นมาแทน
เหมือนเป็นการสร้างความมั่นใจ หรือภาษาการเมืองเขาเรียกว่า “มัดมือชก” พรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน ไม่ให้เอาใจออกห่าง ขอให้เกาะกันอย่างเหนียวแน่น รับรองได้เป็นรัฐบาลต่อแน่นอน
ขณะเดียวกัน ก็ยังเป็นกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อ “ปิดทาง” ไม่ให้ชื่อของ “แคนดิเดตนายกฯ” จากพรรคอื่น เข้ามาอยู่ในกระแสที่นักวิเคราะห์การเมืองต้องหยิบยกขึ้นมาพูดถึง
โดยเฉพาะชื่อของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกฯ ของพรรครวมไทยสร้างชาติ รวมทั้งชื่อ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคภูมิใจไทย ได้กลับมาเป็นตัวแปรสำคัญ ในสมการชิงเก้าอี้นายกฯ
แม้วันนี้ บทบาทของวุฒิสภา ในการเลือกนายกรัฐมนตรี จะสิ้นสุดลงไปแล้ว แต่ด้วยจำนวน ส.ส. ที่กระจายอยู่ในหลายพรรค และการที่รัฐบาลปัจจุบัน เป็นรัฐบาลผสม การเสนอชื่อผู้นำรัฐบาลคนใหม่ จึงยังต้องอาศัยความมั่นคงของเสียงในสภาฯ เป็นสำคัญ
พรรคเพื่อไทย ย่อมตระหนักว่า หากเปิดช่องให้เกิดความลังเล หรือการต่อรองขึ้นภายในพรรคร่วมรัฐบาล หรือแม้แต่การเคลื่อนไหวจาก “กลุ่มอำนาจเก่า” ที่อาจยังมีอิทธิพลผ่านบุคคล หรือกลไกอื่นๆ ก็อาจทำให้เกมอำนาจเปลี่ยนทิศได้ในพริบตา
ซึ่งในรายของ “ลุงตู่” แม้จะพ้นจากตำแหน่งนายกฯไปแล้ว และปัจจุบันเป็นองคมนตรี ไม่ได้มีสถานะทางการเมืองในปัจจุบัน แต่อิทธิพลของ “ลุงตู่” ยังไม่หมดสิ้นเสียทีเดียว โดยเฉพาะในหมู่พรรคการเมืองฝ่ายอนุรักษนิยม ที่ยังให้การสนับสนุน หรือแม้แต่ในภาคธุรกิจ และกลุ่มอำนาจบางส่วนที่ยังเชื่อมั่นว่าถ้า “บิ๊กตู่” กลับมาจริง น่าจะทำให้การเมืองไทยมีเสถียรภาพเพิ่มมากขึ้น
ขณะที่ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ก็เป็นอีกตัวแปรที่ไม่อาจมองข้าม เพราะถ้ามีช่วงชุลมุน หรือเกิดการเปลี่ยนแปลง ในสมการทางอำนาจ พรรคภูมิใจไทยเอง ก็มีศักยภาพมากพอที่จะขอประกาศตัวขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้เหมือนกัน
เพราะการเมืองไทย ถ้าผลประโยชน์ลงตัว อะไรก็เกิดขึ้นได้
ดังนั้น “ทักษิณ” จึงต้องแสดงจุดยืน ชู “ชัยเกษม”เป็นนายกฯ เพื่อดับกระแส ทั้ง “ลุงตู่” และ “เสี่ยหนู” ไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอย