ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ ลาแล้วเจ้าอาวาส “หลวงพ่ออลงกต” วัดพระบาทน้ำพุ ออกแต่เรื่องยังไม่จบ !
หลังจากมีข่าวแแพร่สะพัด เมื่อวันก่อนว่า ขอลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดพระบาทน้ำพุ เพื่อรับผิดชอบและเปิดทางสะดวกให้ตรวจสอบมรสุมรุมเร้าเรื่องถูกตรวจสอบ "เงินบริจาค" แต่พระราชวิสุทธิประชานาถ หรือ หลวงพ่ออลงกต และยังยืนยันว่า "ไม่หลบ -ไม่ลา" ด้วยตนเอง โดยกล่าวกับสื่อบางสำนักว่า จะขอดูอนาคตอีกสักนิด และจะทำทุกอย่างให้ชัดเจนภายในหนึ่งเดือน
ช่วงเวลาเพียงข้ามวัน เมื่อวาน (19 ส.ค.) เจ้าคณะจังหวัดลพบุรี ลงนามอนุญาตให้ หลวงพ่ออลงกต ลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ มีผลทันที
ข่าวว่า ด้านความเคลื่อนไหวที่วัดพระบาทน้ำพุ หลังหลวงพ่ออลงกต ลาออกจากเจ้าอาวาส ก็เงียบเหงาวังเวง ไม่มีคนมาทำบุญเหมือนที่ผ่านมา
ขณะที่ตัวหลวงพ่อ ยังผลุบๆ โผล่ๆ มีรถประจำตัวขับออกจากวัดไปตอนเช้า และกลับเข้ามาตอนบ่าย แต่ไร้เงาหลวงพ่อ โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าหลวงพ่ออยู่ไหน และจะมาที่วัดอีกหรือไม่
ส่วนบริเวณอาคารเมตตาธรรม ทางวัดได้มีการขนข้าวของไปทิ้งแล้ว และเตรียมเข้ามาทำความสะอาดในภายหลัง แต่ยังมีข้าวของบางส่วนที่ยังเก็บไว้อยู่ เช่น หน้ากากอนามัยที่ยังไม่ได้ใช้ ส่วนโกดัง ฝั่งตรงข้ามอาคารเมตตาธรรม พบว่า คนงานทยอยทิ้งผลิตภัณฑ์ยาสีฟัน ครีมกันแดด ครีมทาหน้า ซึ่งหมดอายุไปแล้วตั้งแต่ปี 2565
ฟังว่า หลวงพ่อไม่ได้กลับวัด แต่ไปโผล่ให้สัมภาษณ์ ตอบคำถามสื่อใหญ่ถึงประเด็นดรามาเรื่องวุฒิการศึกษา หลังมีผู้ตั้งข้อสงสัยว่า จบจากม.เกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยในออสเตรเลีย จริงหรือไม่ !?
“หลวงพ่ออลงกต” ยอมรับว่า ไม่ได้เรียนจบทั้งสองสถาบัน เป็นแค่ความใฝ่ฝันที่อยากเรียน
ส่วนที่ เทพศิรินทร์ ช่วงหนึ่งเคยได้ไปที่นั่น แต่ไปในฐานะเด็กนักเรียนที่ไปคัดตัวเตะฟุตบอลในช่วงปิดเทอม โดยไม่ได้เข้าเรียนแต่อย่างใด
งานนี้สรุปได้ว่า โปรไฟล์เรียนดูดี มีดีกรีไม่ธรรมดานั้น ความจริงประจักษ์...เป็นเพียงแค่ฝันเท่านั้น!
เอาเป็นว่า สถานะตอนนี้ ไหลวงพ่ออลงกต” อยู่เป็นพระลูกวัด จากนี้ไปก็ต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ
ด้าน "พ่อมดดำ" สุชาติ ตันเจริญ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ที่กำกับดูแล สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ลั่นวาจา หลวงพ่อลาออกก็จริง…แต่ถ้าพบความผิด ก็ถือเป็น “เจ้าพนักงานรัฐ” อยู่ดี การสอบสวนต้องเดินต่อ ไม่มีทางหลุด!
งานนี้เจ้าตัวย้ำว่า ได้ลงพื้นที่ ส่องทุกซอก โดยเฉพาะประเด็น “มูลนิธิ 4-5 แห่ง” ที่วิพากษ์วิจารณ์กันว่า มีตั้งไว้เป็น เทคนิค ซ่อนเส้นทางเงินบริจาค
ไม่ใช่แค่มูลนิธิ… “พ่อมดดำ” ยังอยากให้เจ้าหน้าที่ตรวจ เรื่องการรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ รวมไปถึงเส้นทางเงินที่เข้าบัญชีส่วนตัวพระแต่ละเดือนเป็นก้อนๆ ถ้าไม่ตรงวัตถุประสงค์ อาจถูกตีความว่าใช้เงินบริจาคไม่ถูกต้อง!
ส่วนเรื่องที่ดินมีข้อสงสัยเยอะว่า ที่ดินในนามมูลนิธิฯ มีไม่กี่ร้อยไร่ แต่กรรมการในมูลนิธิฯ ถือครองเป็นพันไร่!
ดังนั้นต้องไปตรวจสอบว่าที่ถือครองนั้น ถือครองในนามมูลนิธิฯ หรือถือครองส่วนตัว ถ้าถือครองส่วนตัว เขามีปัญหาจะถือครองทรัพย์สินมากขนาดนั้นหรือ ?
รวมไปถึงการใช้เงินมูลนิธิฯ ไปทำอะคาเดมี่ ไปสร้างสนามฟุตบอลมากมาย และมีค่าใช้จ่ายตามมาเดือนละไม่รู้กี่แสนบาท ทำไมต้องเอาไปสร้างมากมายขนาดนั้น แม้จะสร้างสนามฟุตบอล ต้องดูว่าเป็นหน้าที่ของวัดหรือไม่ ทำเกินหน้าที่และใช้เงินถูกต้องหรือไม่
เท่านั้นยังไม่พอ มีข่าวว่าหลวงพ่อประพฤติปฏิบัติกับสีกา “สุชาติ” ได้ให้สำนักพุทธศาสนาไปตรวจสอบหาข้อมูลจากชาวบ้านด้วย ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับการติดต่อจากหลวงพ่อเลย
ขณะที่เรื่องวุฒิการศึกษา ได้ให้ทางสำนักพุทธศาสนาไปตรวจสอบว่า ได้ใช้วุฒิการศึกษาในการเลื่อนสมณศักดิ์หรือไม่ หากใช้วุฒิปลอม ก็จะถูกดำเนินคดี ในการปลอมแปลงเอกสาร
งานนี้ “พ่อมดดำ” ขีดเส้นให้จังหวัดต้องไปตรวจสอบ ให้เวลา 10 วัน ส่วนทางตำรวจ คงมีการรวบรวมพยานหลักฐานอยู่แล้ว
พูดง่ายๆก็คือ แม้ “หลวงพ่ออลงกต” จะ “ลาออก” แต่กงล้อการสอบสวนหมุนไปแล้ว ไม่มีทางปิดฉากง่ายๆ แน่...ส่วนผลจะออกมาแบบไหนต้องโปรดติดตาม
++ “เพื่อไทย”ชิงแต่งตั้งผู้ว่าฯ ก่อนถึงวันพิพากษา “นายกฯ อิ๊งค์”
เพราะ “ทักษิณ ชินวัตร” นายใหญ่ของพรรคเพื่อไทย ต้องการทำเรื่อง ปราบยาเสพติด กาสิโนคอมเพล็กซ์ พนันออนไลน์ ที่ดินอัลไพน์ และวางตัวผู้ว่าราชการจังหวัด ในพื้นที่ที่เป็นฐานเสียงของพรรค เพื่อหวังผลในการเลือกตั้งครั้งหน้า
จึงต้องยึดกระทรวงมหาดไทยกลับมา แม้จะต้องผิดใจกับพรรคภูมิใจไทย ก็ไม่สน
เมื่อ“ภูมิธรรม เวชยชัย” ถูกโยกจากกระทรวงกลาโหม มาคุมมหาดไทย และในการประชุมครม. เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ก็ย้ายข้าราชการระดับสูงของกระทรวง 6 ตำแหน่ง ทันที โดยโฟกัสไปที่ อธิบดีกรมที่ดิน โดยย้าย“พรพจน์ เพ็ญพาส” อธิบดีกรมที่ดิน ไปเป็นรองปลัดกระทรวงฯ แล้วเอา “ขจรเกียรติ รักพานิชมณี” ผู้ว่าฯฉะเชิงเทรา มาเป็นอธิบดีกรมที่ดิน
ภารกิจสำคัญที่รู้ๆ กันคือ ยึดที่เขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ของ “ตระกูลชิดชอบ” กลับมาเป็นของการรถไฟ และ ปลดล็อกที่ดินอัลไพน์ จากที่ธรณีสงฆ์ มาเป็นที่ของคนในตระกูลชินวัตร
เว้นว่างไปเพียงสัปดาห์เดียว เมื่อวานนี้ (19 สิงหาคม 2568) “มท.อ้วน ภูมิธรรม” ก็ย้ายข้าราชการระดับสูง ระดับผู้ว่าฯ อีกล็อตใหญ่ 25 ตำแหน่ง คราวนี้ เพื่อวางคนของตัวเองไว้รองรับการเลือกตั้ง และเด้ง “ผู้ว่าฯสีน้ำเงิน” เข้ากรุ
มีการตั้งข้อสังเกตกันว่า ต้องรีบจัดการแต่งตั้งโยกย้ายในจังหวัดที่สำคัญ ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินคดี “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร ในวันที่ 29 สิงหาคม นี้
เพราะเรื่องนี้เหนือการควบคุม เนื่องจากเป็นการลงมติของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 คน อะไรก็เกิดขึ้นได้
เกิดศาลฯ มีมติฟันโช๊ะ “แพทองธาร” ตกเก้าอี้นายกฯ รัฐบาลสิ้นสภาพ การโยกย้าย ที่อุตสาห์หมายมั่นปั้นมือก็จะค้างเติ่ง
มาดูกันว่า 25 ตำแหน่งที่โยกย้ายล็อตนี้ มีใครบ้าง
1. นายณรงค์ เทพเสนา ผู้ว่าฯอำนาจเจริญ ไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวง 2. นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าฯตาก ไปเป็นรองปลัดกระทรวง 3. นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล ผู้ว่าฯ อ่างทอง ไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวง 4.นายจุมพฎ วรรณฉัตรสิริ ผู้ว่าฯบึงกาฬ ไปเป็นรองปลัดกระทรวง 5.ว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าฯ อุบลราชธานี เป็นผู้ตรวจราชการกระทรวง
6.นายปราชญา อุ่นเพชรวรากร ผู้ว่าฯ นครพนม เป็นผู้ตรวจราชการกระทรวง 7.นายวีระพันธ์ ดีอ่อน ผู้ว่าฯปราจีนบุรี เป็นผู้ตรวจราชการกระทรวง 8.ว่าที่ร้อยตรี ตระกูล โทธรรม ผู้ว่าฯ นราธิวาส เป็นผู้ตรวจราชการกระทรวง 9.นายอังกูร ศีลาเทวากูล ผู้ว่าฯ กระบี่ เป็นผู้ตรวจราชการกระทรวง 10.นายสุรศักดิ์ อักษรกุล ผู้ว่าฯหนองบัวลำภู เป็นอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน
11.นายรัฐศาสตร์ ชิดชู ผู้ว่าฯพัทลุง เป็นผู้ว่าฯกระบี่ 12. นายทศพล เผื่อนอุดม ผู้ตรวจราชการกระทรวง เป็นผู้ว่าฯเชียงใหม่ 13.นายนริศ นิรามัยวงศ์ ผู้ว่าฯสมุทรสาคร เป็นผู้ว่าฯ ชลบุรี 14.นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าฯพะเยา เป็นผู้ว่าฯเชียงราย 15.นายสมบัติ ไตรศักดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง เป็นผู้ว่าฯ สิงห์บุรี
16.นายศุภมิตร ชินศรี ผู้ว่าฯสมุทรปราการ เป็นผู้ว่าฯนครสวรรค์ 17.นายเอกวิทย์ มีเพียร ผู้ว่าฯแม่ฮ่องสอน เป็นผู้ว่าฯปทุมธานี 18.นายศรัณย์ศักด์ ศรีเครือเนตร ผู้ตรวจราชการกระทรวง เป็นผู้ว่าฯภูเก็ต 19.นายชยชัย แสงอินทร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง เป็นผู้ว่าฯ สมุทรสงคราม 20.นายวิบูรณ์ แววบัณฑิต ผู้ว่าฯมหาสารคาม เป็นผู้ว่าฯลำปาง
21.นายชำนาญ ชื่นตา ผู้ว่าฯสุรินทร์ เป็นผู้ว่าฯอุบลราชธานี 22.น.ส.ชุติพร เสชัง ผู้ว่าฯนครสวรรค์ เป็นผู้ว่าฯแม่ฮ่องสอน 23.นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าฯเชียงราย เป็นผู้ว่าฯ ขอนแก่น 24. นายอนุรัตน์ ธรรมประจำจิต ผู้ตรวจราชการกระทรวง เป็นผู้ว่าฯ อำนาจเจริญ 25.นายสยาม ศิริมงคล อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เป็นผู้ว่าฯ สมุทรปราการ
นอกจากนี้ ให้ต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของ “นายปริญญา โพธิสัตย์” ผู้ว่าฯ สระแก้ว ซึ่งอยู่มาครบ 4 ปี ในวันที่ 30 ก.ย.นี้ ซึ่งปกติเมื่ออยู่ครบ 4 ปี ก็ได้เวลาต้องย้าย แต่ผู้ว่าฯปริญญา จะเกษียณอายุราชการปีหน้า (1 ต.ค.69) เลยให้อยู่เป็นผู้ว่าฯ สระแก้วต่อไป อีก 1 ปี
ว่ากันว่า “ผู้ว่าฯปริญญา” ทำงานได้เข้าขากันกับ “แม่ทัพภาคที่1” พล.ท.อมฤต บุญสุยา ก็เลยได้ร่วมงานกันต่อในภารกิจ ดูแลด่านชายแดนในพื้นที่ด้านนี้
ส่วนบรรดาผู้ว่าฯ ที่ถูกย้ายเข้ากรุ “ผู้ตรวจราชการฯ” ล้วนเป็นผู้ว่าฯ ที่ได้รับการโปรโมตมาจากบ้านใหญ่ ของแกนนำ “พรรคสีน้ำเงิน” ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดในภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคใต้ เช่น อำนาจเจริญ อ่างทอง บึงกาฬ อุบลราชธานี นครพนม ปราจีนบุรี นราธิวาส กระบี่
ขณะเดียวกัน ก็ฟื้นคืนชีพให้ “ผู้ตรวจราชการฯ” ออกจากกรุ มาเป็นผู้ว่าฯ เป็นมือเป็นไม้ให้พรรคเพื่อไทย อย่างเช่น “ทศพล เผื่อนอุดม” ถึงกับได้ตำแหน่งสำคัญ เป็นผู้ว่าฯ เชียงใหม่ หรือ อย่าง “สุรศักดิ์ อักษรกุล” ผู้ว่าฯหนองบัวลำภู ที่ขึ้นมาเป็นอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน
ภาพรวมของงานนี้ เป็นการการโยกย้ายเพื่อจัดทัพทางการเมืองแบบไม่ต้องเหนียม พับเรื่องความสามารถ และประสบการณ์ เก็บใส่ลิ้นชักไปก่อน
“มท.อ้วน” ยังบอกว่า นี่ไม่ใช่ล็อตสุดท้าย ยังจะมีตามมาอีกล็อต และวงในยังบอกว่าจะล้วงลงไปถึงระดับรองผู้ว่าฯ กระทั่ง นายอำเภอ!