รมว.สธ. แจง ส.ว. ปม สปสช.เรียกเงินคืน รพ. ย้ำไม่กระทบระบบบัตรทอง ชี้เงินที่ถูกหักหมุนเวียนกลับคืนเขตสุขภาพ รัฐบาลพร้อมชดเชยหากจำเป็นปัดตอบชัดกรณี “หมอสุภัทร” ยันอยู่ขั้นตอนสอบสวนวินัยร้ายแรง ยังเป็นความลับ
เมื่อวันที่ (18 ส.ค.) ในการประชุมวุฒิสภา ที่มี พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 ทำหน้าที่ประธาน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตอบกระทู้ถามสดของ นพ.วีระพันธ์ สุวรรณามัย สมาชิกวุฒิสภา ที่ตั้งคำถามถึงกรณีสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จะเรียกเงินคืนจากโรงพยาบาล หากบันทึกเวชระเบียนไม่สมบูรณ์
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ขอบคุณที่ให้ความสนใจต่อการทำงานของกระทรวงและห่วงใยบุคลากรทางการแพทย์ แต่ขอให้ระมัดระวังการใช้ถ้อยคำในเอกสารหรือการสื่อสารที่อาจทำให้ประชาชนตกใจ เช่น เรื่องโรงพยาบาลจะล้มละลาย หรือระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจะอยู่ไม่ได้ ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่เกินกว่าจะกล่าวโดยไม่ชี้แจงรายละเอียด
รมว.สาธารณสุข กล่าวต่อว่า เรื่องนี้ไม่ได้ถูกปล่อยปละละเลย และปีนี้มีการตรวจสอบเข้มข้นกว่าที่ผ่านมา เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยและค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลเพิ่มสูงขึ้น กระทรวงจึงกำหนดนโยบายด้านโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) โดยตั้งเป้าลดผู้ป่วยภายใน 2 ปี ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัดแล้ว
สำหรับการตรวจสอบงบประมาณ หากคิดจากค่าใช้จ่ายการรักษาทั้งหมด 100% ประมาณ 8.4 หมื่นล้านบาท ตรวจสอบเพียง 3% หรือราว 2,500 ล้านบาท หากถูกหักเต็มจำนวน รัฐบาลก็สามารถชดเชยได้ แต่ในทางปฏิบัติไม่ได้หักทั้งหมด และเงินที่หักไปก็จะหมุนเวียนกลับคืนในเขตสุขภาพนั้น ๆ เพื่อบริหารจัดการโรงพยาบาล
นายสมศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ 4 ส.ค. ที่ผ่านมา ในการประชุมบอร์ด สปสช. ซึ่งตนเป็นประธาน ได้เชิญฝ่ายร้องเรียน โรงพยาบาล และเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง มาหารือกับเจ้าหน้าที่ สปสช. โดยในส่วนที่เป็นการลงเอกสารไม่ครบถ้วนก็เปิดโอกาสให้ปรับแก้ ส่วนที่ผิดจริงก็มีการหักงบ แต่ยืนยันว่าไม่เกิน 2,500 ล้านบาท ทั้งนี้ ตัวเลขทั้งหมดจะได้ข้อสรุปจากการอุทธรณ์ในวันที่ 25 ส.ค.นี้
นายสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสะบ้าย้อย จ.สงขลา ว่า ขณะนี้เรื่องอยู่ในขั้นตอนของคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ซึ่งได้ชี้แจงไปแล้วในสภาฯ ว่าการตรวจสอบทุกหน่วยงานไม่สามารถทำได้ 100% หากมีข้อมูลร้องเรียนเพิ่มเติมก็สามารถเสนอเข้ามาเพื่อให้ตรวจสอบได้
เมื่อถามว่ากรณี นพ.สุภัทร มีการกระทำผิดระเบียบหรือการล็อกสเปกจัดซื้อชุดตรวจ ATK จนถูกสอบวินัยร้ายแรงหรือไม่ นายสมศักดิ์ ตอบว่า ควรดูตามระเบียบราชการว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ป.ป.ช. หรือ ป.ป.ท. พิจารณาอย่างไร บางครั้งอาจไม่ใช่การทุจริตโดยตรง แต่หากผิดระเบียบทางราชการก็ถือว่าผิด พร้อมระบุว่า ที่ผ่านมาได้เคยให้หน่วยงานยกร่างกฎหมาย “Law of Efficiency” เพื่อช่วยให้การทำงานไม่ติดขัดกับระเบียบที่เข้มงวดเกินไป
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่า มีมติให้นพ.สุภัทรออกจากราชการแล้วนั้น นายสมศักดิ์ ย้ำว่า เรื่องดังกล่าวยังไม่มีใครทราบ เนื่องจากเป็นความลับของคณะกรรมการ หากมีการนำข้อมูลไปเผยแพร่ก็อาจผิดกฎหมายเพิ่มเติม และหาก นพ.สุภัทร ต้องการร้องขอความเป็นธรรมก็สามารถเข้าพบได้โดยตรง หากไม่อยู่ก็ให้เลขานุการรัฐมนตรีรับเรื่องแทน
“ยืนยันว่า หากเรื่องใดที่ไม่เป็นความลับทางราชการ ผมพร้อมเปิดเผยต่อสาธารณะ แต่หากเป็นความลับ ก็ต้องดำเนินการตามระเบียบ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมา” นายสมศักดิ์ กล่าว