เมืองไทย 360 องศา
นับถอยหลังกันอีกครั้งสำหรับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กับการที่เธอต้องมาลุ้นว่า ในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ ว่าจะรอดหรือไม่รอด นั่นคือ วันที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยว่า จะมีความผิดด้านมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง หรือเปล่า หากผิดก็ต้องพ้นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี และถูกห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองตลอดไป หรือ ไม่ผิด สามารถไปต่อได้
อย่างไรก็ดี มีบรรดานักวิเคราะห์ นักกฎหมายหลายคนต่างยังฟันธงตรงกันว่า “ไม่รอด” หรือ “รอดยาก” แม้ว่าที่ผ่านมา จะมีการปล่อยข่าวทำนองว่า มีการ “รับกล้วย” กันก็ตาม แต่นั่นอาจเป็นการ “ปราม” เหมือนกับตีปลาหน้าไซเอาไว้ก่อน ก็เป็นไปได้มากทีเดียว
สำหรับนักวิเคราะห์ หรือผู้สังเกตการณ์การเมืองหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน คาดว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จะลาออกจากนายกฯ หรือไม่ สิ่งสำคัญต้องประเมินที่การตัดสินใจไปไต่สวนที่ศาล รธน. ในวันที่ 21 ส.ค. หรือไม่ ซึ่งขณะนี้ยังไม่รู้แน่ชัดว่า จะไปหรือไม่ไป
“ถ้านายกฯจะลาออก คงไม่ไปไต่สวนให้เจ็บตัวเพิ่มอีก แต่อย่างน้อยที่สุดคนที่เป็นนายกฯ ถ้ามีความเชื่อมั่นว่า ตัวเองมีความสุจริตใจ ไม่ได้กระทำความผิดตามข้อกล่าวหานี้ ก็ไม่มีอะไรที่จะไม่ไป ต้องทายท้าเลยว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างนี้ ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลย กับการไปขึ้นศาลรธน.”
ขณะเดียวกัน ยังกล่าวอีกว่า ถ้านายทักษิณ ชินวัตร และ อุ๊งอิ๊งค์ รอดหมดทุกคดีแล้ว ภาคประชาชน ยิ่งฮึกเหิม ความไม่พอใจ จะเพิ่มเป็นทวีคูณ ส่วนหากไม่รอดคดี ต้องลุ้นใครจะเป็นนายกฯคนใหม่ ซึ่งปลายทางการเมืองมีอยู่เท่านี้ ไม่มีความซับซ้อนอะไร
นายจตุพร กล่าวถึงหนังสือชี้แจงของน.ส.แพทองธาร ยื่นต่อ ศาลรธน. โดยระบุ สว.ผู้ร้องมีอคติ ว่า ข้อเท็จจริงของคดีความนั้น สาระไม่ได้อยู่ที่ผู้ร้องมีอคติ หรือไม่ แต่อยู่ที่การกระทำของผู้ถูกร้องได้เข้าเขตความผิดตามกฎหมาย หรือไม่ ดังนั้น การทำลายน้ำหนักผู้ร้อง จึงไม่ได้เกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ถูกร้อง
“การด้อยค่า สว. ไม่ได้ทำให้นายกฯอุ๊งอิ๊งค์ มีคุณอะไรในเรื่องคดี ศาลจะไปพิเคราะห์ว่า ผู้ร้องมีความอคติได้เหรอ เพราะเขาไม่ได้ร้องเรื่องความเกลียดชัง เป็นการส่วนตัว แต่เป็นการสนทนาระหว่าง อังเคิล (ฮุนเซน) กับนายกฯไทย และกลายเป็นปัญหา”
ส่วนการอ้างว่า ฮุนเซน ไม่มีอำนาจตามกฎหมายนั้น นายจตุพร กล่าวว่า ใครก็รู้ว่า ฮุนเซน ประธานวุฒิสภา ในทางพฤตินัย มีอำนาจสูงสุดของกัมพูชา เช่นเดียวกับทักษิณ มีอำนาจเหนือลูกสาว นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ และพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งสิ่งนี้วิญญูชน พึงคิดเองได้
“ถ้านายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ เห็นว่า ฮุนเซน ไม่มีอำนาจหน้าที่โดยตรง แล้วไปคุย ไปเจรจากับเขาทำไม แสดงว่าที่ไปเจรจานั้น คุณย่อมรู้ว่า เขามีอำนาจจึงเจรจาในเรื่องเปิดด่าน การด้อยค่าแม่ทัพภาค 2 และเรื่องอื่นๆ ในคลิปเสียงตั้ง17 นาที”
อย่างไรก็ตาม นายกฯอุ๊งอิ๊งค์ จะคุยกับ ฮุนเซน ซึ่งบอกว่าเขาไม่มีอำนาจ แล้วนายกฯ ไปตามนายภูมิธรรม เวชยชัย (ขณะเป็น รมว.กลาโหม) นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ และ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกฯ มาร่วมคุยด้วยทำไม แล้วยังรอนานถึง 3 ชั่วโมง ก็ไม่ได้คุย ซึ่งสิ่งนี้เป็นพฤติกรรมย้อนแย้ง กับการอ้างว่า ฮุนเซน ไม่มีอำนาจ และหน้าที่
นายจตุพร กล่าวว่า หนังสือชี้แจงของนายกฯ อ้างคลิปเสียงได้มาโดยไม่ชอบกฎหมายนั้น แต่นายกฯยอมรับว่า เป็นเสียงตัวเอง และได้พูดจริง แล้วคลิปเสียงเป็นข้อมูลข้อเท็จจริงสาธารณะ ซึ่งประชาชนต้องการจะรู้อยู่แล้ว สิ่งสำคัญ คลิปไม่ใช่การดักฟัง แต่เป็นการบันทึกเสียงของคู่สนทนา
ส่วนกรณีการฝ่าฝืน ม.144 ของ รธน. 60 ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของ ป.ป.ช.นั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ถ้าไปถึงศาล รธน. ต้องใช้เวลา 15 วัน วินิจฉัย ดังนั้น เข้าใจว่า ป.ป.ช.คงใช้เวลาในการจัดจังหวะ รอยื่นต่อศาลรธน. จึงต้องรอดูสถานการณ์ ศาลวินิจฉัยคดีในวันที่ 22 และ 29 ส.ค. แล้วต่อเนื่องไปถึง 9 ก.ย. ตัดสินคดีชั้น 14 ของ ทักษิณ
นั่นคือมุมมองของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่วิเคราะห์เอาไว้ว่า ไม่ว่าจะออกทางไหน ทั้ง“สองพ่อลูก” ก็รอดยาก เพราะหากรอดจากด่านศาลรัฐธรรมนูญ ก็ต้องเจอกับ “วิกฤติศรัทธา”จากประชาชน ที่หนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนจากความรู้สึกออกมา ในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะผ่านผลสำรวจ ผ่านทางโซเชียลฯ ในทุกช่องทางที่เคยสนับสนุนตัว นายทักษิณ และ น.ส.แพทองธาร รวมไปถึงพรรคเพื่อไทย เวลานี้ หากเข้าไปส่องดูจะเห็นว่า ร้อยละ 70-80 มีแต่เสียงวิจารณ์ เสียตำหนิอย่างรุนแรง แบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ดังนั้น แม้ว่าที่ผ่านมาตัว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ยังไม่เคยแสดงท่าทีชัดเจนออกมาว่าจะลาออกก่อนถึงวันที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัย ในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ หรือไม่ก็ตาม รวมไปถึงบรรดาแกนนำพรรคเพื่อไทย และรัฐบาล อย่างเช่น นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการนายกรัฐมนตรี และ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี จะแสดงความมั่นใจว่า น.ส.แพทองธาร ไม่ลาออกแน่นอนก็ตาม แต่นั่นเป็นเพียงการแสดงความเชื่อส่วนตัวเท่านั้น ยังไม่ใช่เจ้าตัวออกมาพูดด้วยตัวเอง อีกทั้งยังพอมีเวลาในการตัดสินใจลาออก ก่อนถึงวันที่ 29 สิงหาคม
อย่างไรก็ดี นาทีนี้สำหรับน.ส.แพทองธาร รวมถึง นายทักษิณ ชินวัตร จะลาออก หรือจะกลับเข้าคุกอีกครั้งหรือไม่ คงไม่มีความหมายอะไรแล้ว เพราะความเชื่อมั่นศรัทธาที่ชาวบ้านมีต่อพวกเขานั้น แทบจะไม่มีเหลืออีกแล้ว ซึ่งหากพิจารณาสำหรับทางออกที่ดีที่สุดแล้ว น.ส.แพทองธาร น่าจะเลือกการลาออกก่อน น่าจะดีที่สุด เพราะยังมีหนทางกลับมาดำรงตำแหน่งทางการเมืองในอนาคตได้อีก
แต่อีกด้านหนึ่ง หากเลือกไม่ลาออก โดยลุ้นในวันที่ 29 สิงหาคม รอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ซึ่งส่วนใหญ่มองว่าน่าจะไม่รอด หากออกรูปนี้ถือว่า “จบเห่”ทันที หรือแม้แต่ออกในมุม “ได้ไปต่อ” ก็ยิ่งจะยั่วยุอารมณ์โกรธของสังคม ที่เวลานี้แทบจะไม่มีใครอยากให้โอกาสครอบครัวนี้ในทางการเมืองอีกแล้ว และยิ่งในสถานการณ์ตึงเครียดกับกัมพูชา ยิ่งทำให้มีแรงกระแทกกลับมาที่ “สองพ่อลูก” หนักกว่าเดิม เพราะความไว้วางใจตอนนี้ แทบเป็นศูนย์แล้ว !!