xs
xsm
sm
md
lg

กสม.ชี้อดีตผู้บริหารบริษัทสตาร์ค ได้รับการรักษาพยาบาล ดีกว่าผู้ต้องขังรายอื่น เป็นการเลือกปฏิบัติ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กสม. ชี้อดีตผู้บริหารบริษัทสตาร์ค ได้รับการรักษาพยาบาลและการปฏิบัติที่ดีกว่าผู้ต้องขังรายอื่น เป็นการเลือกปฏิบัติ แนะ ตร. ราชทัณฑ์สอบข้อเท็จจริงดำเนินการตามกฎหมาย

วันที่15ส.ค. นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)เปิดเผยผลการตรวจสอบกรณีกสม.ได้รับเรื่องร้องเรียนจากกลุ่มผู้เสียหายจากหุ้นกู้บริษัทสตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เมื่อเดือนสิงหาคม 2567 ว่า มีการเลือกปฏิบัติอันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ต้องขัง จากกรณีที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ผู้ถูกร้องที่1ได้ส่งตัวอดีตผู้บริหารและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ซึ่งเป็นจำเลยในคดีทุจริตและฉ้อโกง ไปรักษาตัวกับทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ (ผู้ถูกร้องที่ 2 โดยให้เหตุผลว่าเป็นผู้ป่วยกลุ่มเปราะบาง 608 จากที่ได้ฉีดสีเพื่อตรวจหาโรคหัวใจและมีประวัติการรักษาโรคซึมเศร้า ต่อมาผู้ถูกร้องที่ 2 ตรวจพบก้อนเนื้อบริเวณอัณฑะ จึงได้ส่งตัวอดีตผู้บริหารไปรักษาตัวกับโรงพยาบาลตำรวจ ผู้ถูกร้องที่ 4 โดยพักรักษาที่หอผู้ป่วยพิเศษ ชั้น 14 เป็นระยะเวลาเกือบ 30 วัน ก่อนที่กรมราชทัณฑ์ ผู้ถูกร้องที่ 3 จะประสานงานกับผู้ถูกร้องที่ 4 เพื่อรับตัวกลับมารักษาตัวกับผู้ถูกร้องที่ 2 อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ขณะที่อดีตผู้บริหารถูกควบคุมตัวไปศาลอาญา ยังถูกพันธนาการน้อยกว่าผู้ต้องขังรายอื่น

กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า กรณีตามคำร้องมีประเด็นที่ต้องพิจารณาแยกเป็น 2 ประเด็น ประเด็นแรก ผู้ถูกร้องที่ 1 – 4 ได้ให้การดูแลรักษาอดีตผู้บริหารรายดังกล่าวดีกว่าผู้ต้องขังรายอื่น ซึ่งถือเป็นการเลือกปฏิบัติ หรือไม่ จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2567 เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ผู้ถูกร้องที่ 1 รับตัวอดีตผู้บริหารเข้ามาและตรวจคัดกรองเบื้องต้นพบว่า มีโรคหัวใจและไขมันในเลือดสูง และในวันเดียวกันผู้ต้องขังมีอาการเจ็บหน้าอก เรือนจำฯ จึงส่งตัวไปยังทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ผู้ถูกร้องที่ 2 โดยแพทย์ให้สังเกตอาการที่สถานพยาบาลเรือนจำก่อน ต่อมาได้ประเมินอาการพบปัญหาทางสภาพจิตรุนแรงจึงรับไว้เพื่อสังเกตอาการ หลังจากนั้นพบว่าผู้ต้องขังอดีตผู้บริหารรายดังกล่าวมีอาการปวดอัณฑะและจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด แต่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์มีข้อจำกัดในการวินิจฉัยอย่างละเอียดเพื่อทำการผ่าตัดเฉพาะก้อนเนื้อออกและไม่มีวิสัญญีแพทย์ จึงต้องส่งตัวผู้ต้องขังไปรับการรักษากับโรงพยาบาลตำรวจ ผู้ถูกร้องที่ 4ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูงกว่า การดำเนินการในชั้นนี้เป็นการคุ้มครองสิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขต่อผู้ต้องขังและสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของผู้ต้องขังตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ตามสมควรแล้ว จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่ามีการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน


ส่วนห้วงเวลาที่โรงพยาบาลตำรวจ ผู้ถูกร้องที่ 4 รับตัวอดีตผู้บริหาร ไว้ดูแลรักษาและให้พักรักษาตัวที่ห้องพิเศษชั้น 14 อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา ตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2567 รวมระยะเวลา 29 วัน โดยไม่ได้จำหน่ายตัวภายหลังที่มีการผ่าตัดเสร็จสิ้น เห็นว่าเนื่องจากแผลผ่าตัดยังมีเลือดไหลและติดเชื้อ ต้องมีการเปิดแผลเพื่อทำแผลและระบายเลือด ถือเป็นเหตุอันสมควรที่ผู้ต้องขังอดีตผู้บริหารรายดังกล่าวจะได้รับการดูแลรักษาจากผู้ถูกร้องที่ 4 ตามหลักเกณฑ์และมาตรฐานวิชาชีพแพทย์ แต่เมื่อพิจารณากฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 และระเบียบโรงพยาบาลตำรวจว่าด้วยการรับตัวผู้ป่วยคดีที่เป็นผู้ต้องหา ผู้ต้องกัก ผู้ต้องขัง หรือนักโทษเข้ารับการรักษาพยาบาลเป็นผู้ป่วยของโรงพยาบาลตำรวจ พ.ศ. 2557 ซึ่งวางหลักไว้ว่าผู้ต้องขังที่ได้รับอนุญาตให้ออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำจะต้องใช้สิทธิของผู้ต้องขังตามที่ทางราชการจัดให้และห้ามเข้าอยู่ในห้องพักพิเศษแยกจากผู้ป่วยทั่วไป เว้นแต่ต้องพักรักษาตัวในห้องควบคุมพิเศษตามที่สถานที่รักษาผู้ต้องขังจัดให้ และหากแพทย์มีความเห็นให้ผู้ป่วยคดีเข้ารับการรักษาที่ผู้ถูกร้องที่ 4 แล้ว โดยหลักให้รับตัวผู้ป่วยคดีไว้ที่ห้องผู้ป่วยที่โรงพยาบาลตำรวจจัดไว้สำหรับผู้ต้องหา ผู้ต้องขัง หรือนักโทษ เว้นแต่นายแพทย์ใหญ่จะพิจารณาอนุญาตเป็นอย่างอื่น การที่อดีตผู้บริหารฯ ได้เข้าพักรักษาที่ห้องพิเศษแยกจากผู้ป่วยอื่นแทนที่จะเป็นห้องผู้ป่วยคดี โดยโรงพยาบาลตำรวจชี้แจงว่าเนื่องจากอดีตผู้บริหารมีโรคประจำตัวหลายโรค มีความสามารถที่จะชำระค่าห้องพักพิเศษได้ รวมถึงมีความจำเป็นต้องเปิดแผลซึ่งต้องมีความเป็นส่วนตัว แต่จากการตรวจสอบสภาพภายในห้องผู้ป่วยคดีพบว่า มีการติดตั้งฉากม่านกั้นสำหรับคุ้มครองสิทธิในความเป็นส่วนตัวของผู้ป่วยกรณีที่บุคลากรทางการแพทย์จะต้องทำหัตถการอย่างเหมาะสมแล้ว ข้อชี้แจงของโรงพยาบาลตำรวจ ผู้ถูกร้องที่ 4 จึงไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและไม่เป็นเหตุผลที่เพียงพอต่อการปฏิบัติกับอดีตผู้บริหารให้แตกต่างจากผู้ต้องขังป่วยรายอื่น การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม อีกทั้งยังไม่ปรากฏว่าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ผู้ถูกร้องที่ 1 มีการกำกับดูแลการใช้สิทธิในการรักษาพยาบาลให้เป็นไปตามกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 ที่ห้ามไม่ให้ผู้ป่วยคดีเข้ารักษาในห้องพิเศษแยกจากผู้ป่วยทั่วไป จึงรับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 และผู้ถูกร้องที่ 4 กระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ต่อมา หลังจากผู้ถูกร้องที่ 4 ได้จำหน่ายตัวผู้ต้องขังอดีตผู้บริหารกลับมารับการรักษาต่อกับทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ (ผู้ถูกร้องที่ 2เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2567 โดยแพทย์ของผู้ถูกร้องที่ 4 มีความเห็นให้ดูแลต่อเนื่องภายหลังจากการผ่าตัดซึ่งจะต้องทำแผลและให้ยาปฏิชีวนะ รวมถึงไปติดตามอาการตามนัดของแพทย์หลายครั้ง โดยแพทย์ของผู้ถูกร้องที่ 4 ได้สิ้นสุดการรักษาเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2567 แต่เมื่อพ้นระยะเวลาดังกล่าวกลับปรากฏว่าอดีตผู้บริหารยังคงอยู่ภายใต้การดูแลรักษาของผู้ถูกร้องที่ 2 มาโดยตลอด รวมระยะเวลากว่า 6 เดือน กว่าผู้ถูกร้องที่ 2 จะได้จำหน่ายตัวอดีตผู้บริหารกลับไปควบคุมที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครตามเดิม ซึ่งเห็นว่าเป็นระยะเวลาที่นานเกินสมควร เนื่องจากไม่ปรากฏอาการเจ็บป่วยอื่นใดที่เป็นข้อบ่งชี้สำคัญให้อดีตผู้บริหารต้องอยู่รักษากับผู้ถูกร้องที่ 2 ต่อเนื่อง และการรักษาอาการทางจิตกับแพทย์ของผู้ถูกร้องที่ 2 ก็เป็นไปในฐานะผู้ป่วยนอกมาโดยตลอด กรณีนี้จึงมีเหตุอันควรเชื่อว่า ผู้ถูกร้องที่ 2 เลือกปฏิบัติต่อผู้ต้องขังอดีตผู้บริหารให้ได้รับประโยชน์มากกว่าผู้ต้องขังที่ป่วยรายอื่น จึงรับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องที่ 2 กระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

สำหรับกรณีร้องเรียนว่าผู้ต้องขังอดีตผู้บริหารถูกควบคุมตัวไปศาลอาญา โดยไม่มีการใส่เครื่องพันธนาการที่ข้อเท้า จากการตรวจสอบปรากฏว่า อดีตผู้บริหารรายนี้ถูกควบคุมตัวไปดำเนินกระบวนการพิจารณาคดีในชั้นศาล 5 ครั้ง โดยทุกครั้งมีการใส่กุญแจเท้า ยกเว้นเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2567 ที่อดีตผู้บริหารเพิ่งได้รับการผ่าตัดก้อนเนื้อที่อัณฑะ ทำให้ไม่สามารถเดินได้อย่างสะดวก เรือนจำฯ จึงใส่กุญแจมือแทน จึงเป็นกรณีที่เรือนจำฯ ได้กระทำการตามความเหมาะสมในการควบคุมตัวผู้ต้องขังเมื่อต้องออกไปนอกเรือนจำโดยปราศจากการเลือกปฏิบัติ ประเด็นนี้จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่ามีการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน จากเหตุผลดังกล่าว กสม. จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะไปยังกรมราชทัณฑ์ ผู้ถูกร้องที่ 3 ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัดของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ผู้ถูกร้องที่ 1 และทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ผู้ถูกร้องที่ 2 รวมทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัดของโรงพยาบาลตำรวจ ผู้ถูกร้องที่ 4 และคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยใช้รายงานผลการตรวจสอบฉบับนี้เป็นข้อมูลประกอบด้วย พร้อมทั้งกำหนดมาตรการเพื่อมิให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนในลักษณะนี้อีก นอกจากนี้ ให้ผู้ถูกร้องที่ 4 จัดหาสถานที่เพื่อใช้เป็นห้องรักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยคดีให้เพียงพอ และสำหรับผู้ป่วยคดีที่เป็นเพศหญิงเป็นการเฉพาะ เพื่อให้เกิดความสะดวกในการรักษาพยาบาล และการควบคุมผู้ต้องขังป่วยของเจ้าพนักงานเรือนจำให้เป็นไปตามอัตราที่กฎหมายกำหนด



กำลังโหลดความคิดเห็น