เมืองไทย 360 องศา
สังเกตหรือไม่ว่าช่วงสี่ห้าวันมานี้ ไม่เห็นหน้า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเลย ล่าสุดเมื่อวันอังคารที่ 5 สิงหาคม ที่ผ่านมา เธอก็ได้ลาหยุด โดยไม่มีการเปิดเผยสาเหตุ และเหตุผลให้ทราบ และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เธอก็ไม่ปรากฏตัวในที่สาธารณะ หรือให้สัมภาษณ์แสดงความเห็นใดๆ อีกเลย แม้ว่าที่ผ่านมาหากเป็นวันหยุดราชการ เสาร์-อาทิตย์ จะกลายเป็นวันหยุดวันพักผ่อนกับครอบครัว จนเป็นเรื่องปกติของนายกรัฐมนตรีคนนี้ไปแล้ว ซึ่งผิดไปจากนายกรัฐมนตรีคนอื่นที่ผ่านมา ที่มักจะทำงานวันหยุดก็ตาม
ขณะเดียวกัน เมื่อสำรวจปฏิกิริยาทางการเมืองที่ผ่านมาหลังจากเกิดเหตุ “คลิปหลุด” ที่เป็นการสนทนาลับระหว่าง “หลานอิ๊งค์” กับ “อังเคิลฮุน” ถูกปล่อยออกมา นับตั้งแต่นั้นมาทำให้เกิด “วิกฤต” ทางการเมือง วิกฤตในเรื่องความไว้วางใจขึ้นมาทันที ลุกลามมาถึง นายทักษิณ ชินวัตร พรรคเพื่อไทย และรวมไปถึงรัฐบาลผสมที่เธอเป็นผู้นำ และนับจากนั้นเป็นต้นมา ทุกอย่างก็แทบจะควบคุมไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
ความนิยมตกต่ำลงมาอย่างหนัก ชนิดที่เรียกว่าอาจตกต่ำมากที่สุดนับตั้งแต่ที่พวกเขาเข้าสู่การเมือง หรือตั้งแต่การตั้งพรรคไทยรักไทย เมื่อปี 2544 เลยก็ว่าได้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ “ครอบครัวชินวัตร” นายทักษิณ ชินวัตร ต้องประสบกับภาวะตกต่ำมากที่สุด ขณะเดียวกัน ไม่ใช่ทางการเมืองอย่างเดียวที่ต้องเจอมรสุม
แต่ในทางกฎหมายก็ถือว่า “นักสาหัส” ไม่แพ้กัน แม้ว่าที่ผ่านมาจะเจอกับการถูกยุบพรรคมาหลายครั้ง แต่ความนิยมส่วนตัวของพวกเขายังหนักแน่น และไม่เปลี่ยนแปลง สังเกตได้จากเมื่อมีการเลือกตั้งทุกครั้ง ไม่ว่าจะส่งใครลงมาก็จะได้รับการเลือกตั้ง รวมทั้งสนับสนุนใครให้เป็นนายกรัฐมนตรีก็ไม่เคยมีปัญหา
แต่สำหรับครั้งนี้ นับตั้งแต่เมื่อเจอวิกฤต “อังเคิลฮุน” ที่ “ซ้ำเติม” เข้ามา ทุกอย่าง “รูด” ลงมาอย่างรวดเร็ว ที่ต้องบอกว่า “ซ้ำเติม” เพราะที่ผ่านมาน.ส.แพทองธาร ชินวัตร กำลังถูกวิจารณ์อย่างหนักในเรื่อง “ความรู้ความสามารถ” มีปัญหาเรื่องภาวะผู้นำ และที่สำคัญภายใต้รัฐบาลของเธอต้องประสบกับปัญหาวิกฤติทางเศรษฐกิจ มีปัญหาเรื่อง “ปากท้อง” ซึ่งอาจเป็นโชคไม่ดี ที่เกิดภาวะวิกฤตกันทั่วโลก แต่สำหรับคนไทยแล้วเมื่อเจอกับปัญหาค่าครองชีพสูงลิ่ว พวกเขาก็ไม่สนใจหรอกว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ ต้องพุ่งเป้าชี้โทษไปที่รัฐบาล และนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว
ดังนั้น เมื่อเจอกับ “เทปอังเคิลฮุน” ซ้ำเติมเข้ามา และลุกลามกลายเป็นการสู้รบตามแนวชายแดน ทำให้ความเชื่อมั่น ความไว้วางใจในตัวรัฐบาล และนายกรัฐมนตรี ถอยลงเรื่อยๆ จนแทบไม่มีราคาเลย
แต่ที่น่าหนักใจยิ่งกว่านั้นก็คือ “ผลทางกฎหมาย” ที่เวลานี้ “สองพ่อลูกชินวัตร” กำลังเจอก็คือ คำร้อง และคดีอาญาในศาล ซึ่งทุกคดีกำลังงวดเข้ามา บางคดีอาจถึงขั้นติดคุก หรือ “ต้องกลับเข้าคุก” ก็มี สำหรับน.ส.แพทองธาร ชินวัตร คาดว่าภายในเดือนนี้ อาจจะมีการวินิจฉัยออกมาจากศาลรัฐธรรมนูญ ที่ถูกร้องเรียนเรื่องการกระทำผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง มีความเสี่ยงต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง หมดอนาคตไปเลยก็เป็นไปได้สูงมาก
ที่ผ่านมา เธอพยายาม “ยื้อ” เวลาให้นานที่สุด อย่างน้อยในช่วงเวลา 3 เดือน โดยไม่ยอมลาออก หรือยุบสภา เพื่อหวังว่า เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งอาจจะพลิกสถานการณ์กลับมาได้ แต่กลายเป็นว่ายิ่งอยู่ ยิ่งแย่ เหมือนกับเวลานี้ ระหว่างที่ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ สังคมกลับไม่รู้สึกว่าต้องมีนายกฯ ทำหน้าที่แต่อย่างใด เวลานี้ “แทบไม่มีตัวตน” เลยก็ว่าได้
ล่าสุดมีผลสำรวจออกมา ปรากฏว่า ชาวบ้านไม่มีความไว้วางใจ หรือไว้วางใจน้อยกว่ากองทัพ จนแทบเทียบกันไม่ติด
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจเรื่อง “สถานการณ์ไทย-กัมพูชา ไปต่อแบบไหนดี” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 4-5 สิงหาคม 2568 เกี่ยวกับความไว้วางใจ และความพอใจต่อบทบาทของภาคส่วนต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา
จากการสำรวจเมื่อถามถึงความไว้วางใจต่อภาคส่วนต่าง ๆ ว่าจะสามารถปกป้องผลประโยชน์ของชาติได้ จากกรณีความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา พบว่า
1. กองทัพ ตัวอย่าง ร้อยละ 75.73 ระบุว่า ไว้วางใจมาก รองลงมา ร้อยละ 19.31 ระบุว่า ค่อนข้างไว้วางใจ ร้อยละ 3.66 ระบุว่า ไม่ค่อยไว้วางใจ ร้อยละ 1.07 ระบุว่า ไม่ไว้วางใจเลย และร้อยละ 0.23 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
2. กระทรวงการต่างประเทศ ตัวอย่าง ร้อยละ 41.76 ระบุว่า ไม่ไว้วางใจเลย รองลงมา ร้อยละ 33.28 ระบุว่า ไม่ค่อยไว้วางใจ ร้อยละ 19.23 ระบุว่า ค่อนข้างไว้วางใจ ร้อยละ 4.89 ระบุว่า ไว้วางใจมาก และร้อยละ 0.84 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
3. รัฐบาลไทย ตัวอย่าง ร้อยละ 54.58 ระบุว่า ไม่ไว้วางใจเลย รองลงมา ร้อยละ 29.01 ระบุว่า ไม่ค่อยไว้วางใจ ร้อยละ 11.45 ระบุว่า ค่อนข้างไว้วางใจ ร้อยละ 4.66 ระบุว่า ไว้วางใจมาก และร้อยละ 0.30 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ด้านความพอใจต่อบทบาทของภาคส่วนต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา พบว่า
1. กองทัพ ตัวอย่าง ร้อยละ 75.42 ระบุว่า พอใจมาก รองลงมา ร้อยละ 19.85 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 3.36 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 1.22 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 0.15 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
2. กระทรวงการต่างประเทศ ตัวอย่าง ร้อยละ 40.31 ระบุว่า ไม่พอใจเลย รองลงมา ร้อยละ 33.66 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 20.38 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 4.81 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 0.84 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
3. รัฐบาลไทย ตัวอย่าง ร้อยละ 54.43 ระบุว่า ไม่พอใจเลย รองลงมา ร้อยละ 27.40 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 13.75 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 4.27 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 0.15 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ท้ายที่สุดเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อการปฏิบัติของโรงพยาบาลในการรับผู้ป่วยชาวกัมพูชา
เพื่อการรักษาพยาบาล พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 51.37 ระบุว่า ไม่ควรรับผู้ป่วยชาวกัมพูชาทุกคน ทั้งผู้ที่อาศัยอยู่ในไทยและขอข้ามแดนมาเพื่อการรักษาพยาบาล รองลงมา ร้อยละ 35.81 ระบุว่า ควรรับผู้ป่วยชาวกัมพูชาเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในไทยเท่านั้น ร้อยละ 11.45 ระบุว่า ควรรับผู้ป่วยชาวกัมพูชาทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะอาศัยอยู่ในไทยหรือขอข้ามแดนมาเพื่อการรักษาพยาบาล และร้อยละ 1.37 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากบรรยากาศ ความรู้สึก และสถานการณ์ทั้งมวลเวลานี้ ถือว่าไม่เป็นใจให้กับ “สองพ่อลูกชินวัตร” เลยแม้แต่น้อย กลายเป็นว่า “ยิ่งยื้อ” ทุกอย่างยิ่งแย่ลงไปเรื่อยๆ จากเดิมหวังว่าเมื่อเวลาผ่านไป จะสามารถพลิกกลับมาเป็นบวกได้บ้าง แต่เวลานี้เป็นตรงกันข้าม พลสำรวจล่าสุดย่อมยืนยันได้ดีว่า กำลังเข้าสู่ขั้นวิกฤตแล้ว !!